มารีวิวปี 2019 แบบสั้นๆในแบบฉบับคนขี้เกียจ (ไปอ่านรีวิวของตัวเองตอนปี 2018 ฉันก็ขี้เกียจ สรุปได้ว่า ขี้เกียจ=นิสัย=แก้ไม่ได้)
เป็นปีที่ไม่ได้เที่ยวมากเท่าไหร่ ไม่ได้กลับไทย พยายามมีความสุขแบบมินิมอล คือพยายามมีความสุขกับสิ่งเล็กๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เครียด ร้องไห้ ค่อนข้างบ่อยในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องเงิน เรื่องรัก เอออออ ก็ทุกเรื่องแหละเว้ย ขึ้นปีใหม่ก็ร้องไห้ฉลองปีใหม่มาแล้วหว่ะ
มองย้อนไปทีละเรื่อง ถ้าพูดถึงเรื่องเรียน ครับ!! ผมเรียนจบแล้วครับ ได้ไปฝึกงานที่มิวเซียมในออสเตรีย ซึ่งเป็นที่ที่เราชอบมาก แต่เราก็ผิดหวังมากเช่นกัน เพราะเราไม่ได้เข้าไปทำอะไรเลย ไม่มีการป้อนงานให้เราทำ ฉันต้องนั่งเปื่อยอ่านเปเปอร์ตาเปียกทุกวัน.. เพราะนี่คาดหวังว่าเราจะได้ประสบการณ์การทำงานจากที่นี่ไง แต่ก็ได้แค่ทำรีเสิร์ชของตัวเอง มันน่าเบื่อมากๆเว้ยแก เวลาแกไม่มีอะไรทำอ่ะ
แล้วเราย้ายไปออสเตรีย ก็ไปอยู่ที่อพาร์ตเมนท์กับคนท้องถิ่นที่นั่นเลย แน่นอนว่า ทุกคนจะชอบถามว่าฉันอยู่สวนสัตว์รึเปล่า เพราะแฟลตเมทฉันมี แมวสอง กระต่ายสี่ ม้าหนึ่ง น่ารักทุกตัว พูดถึงแล้วก็คิดถึงแซมมี่และชาร์ลี่ เจ้าแมวสองตัวที่ไม่ทำให้เราเหงามากเท่าไหร่ เพราะพวกนางมาก่อกวนตลอดเวลา สร้างปัญหาบ้างบางครั้ง
แซมมี่: แมวที่โคตรจะแอคทีฟ เฟรนลี่ เป็นมิตรกับทุกสรรพสัตว์ ยกเว้นผู้ชาย น้องจะชอบเดินมาคลอเคลีย มาอ้อน โดดไปมา กายกรรมขึ้นตู้ ปีนป่าย เจอกันวันแรก น้องก็คือ เราสนิทกันแล้วน้า เหมียวๆ
ชาร์ลี่: แมวอินโทรเวิร์ตแบบ โคตรจะเก็บตัว ซ่อนตัวเก่ง ไม่ยอมให้จับ ไม่ยอมอยู่ใกล้ ชอบวิ่งหนีด้วยแอตทิจูด อย่ามายุ่งกับกู แต่ถ้ามีของกินน้องจะมาอยู่ใกล้ๆทันที นี่ก็ตีซี้น้องภายในสามวัน จากที่แอบๆอยู่ น้องก็เริ่มเปิดใจ และหลังๆก็แอบมานอนซบเราบ้าง(โคตรจะดีใจ น้องมาอ้อน)
อะมิโก้: เป็นม้าอายุเกือบเท่าเรา น้องก็แก่ประมาณนึง เป็นม้าแก่ ใจดี เห็นแก่กิน เพราะตอนพาไปเดินเล่น ยากสุดก็คือ ดึงไม่ให้น้องกินหญ้านี่แหละ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูแลม้าใกล้ชิดขนาดนี้ พาไปเดินเล่นเป็นชั่วโมง แต่เสียใจที่ไม่ได้ขี่ เพราะฉันขี่ไม่เป็นนน
แก๊งกระต่ายเกมส์ออฟโทรน: น้องกระต่ายสามตัวแห่งตะกูลสตาร์ค จอน สโนว์, ซานซ่า, อารยา และทีเรียน (จากแลนนิสเตอร์) ปกติเราก็แค่เอาผักไปให้น้องกิน ให้น้ำน้องบ้าง แค่นั้นแหละ เพราะน้องอาศัยอยู่ในกรงในสวน เป็นกระต่ายที่ตัวใหญ่กว่าแมว เจ้าอ้วนนนน เห็นแล้วอยากกอดดดด
แฟลตเมทเราที่ออสเตรียก็คือ คนดี รักสัตว์ ทำงานหนัก เรียนอีกต่างหาก เป็นมังสวิรัติด้วย แม้เราจะไม่ได้สนิทกันมาก เพราะต่างๆฝ่ายต่างโลกส่วนตัวสูงแบบลิบเลย เวลากลับบ้านก็อยากจะแค่ใส่หูฟังฟังเพลง ใช้เวลากับตัวเอง เท่านั้นพอ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้ฉลองเทสกาลอีสเตอร์ ได้ไปเจอครอบครัวแบบออสเตรียนจ๋าๆ ไปบ้านต่างจังหวัด ไปเจอคุณยายที่แม้จะพูดได้แต่เยอรมัน แต่ก็ใจดีมากๆ ให้ไข่อีสเตอร์มาด้วย พ่อแม่ก็แฟลตเมทก็คือเห็นเราเป็นคนในครอบครัวตลอด ชวนไปกินข้าวเรื่อยๆ แม้จะเป็นแค่สามเดือนสั้นๆ แต่เราก็จะไม่ลืมประสบการณ์เหล่านี้นะ
ช่วงสามเดือนในออสเตรียคือโคตรจะคลีน กินเฮลตี้ ไปว่ายน้ำ ไม่มีการไปปาร์ตี้แบบบ้าคลั่ง มีแต่ไปนั่งกินไวน์กับพ่อแม่แฟลตเมท หรือไม่ก็ออกไปดื่มเบาๆกับใครก็ไม่รู้ (เหงาแค่ไหน ถึงขนาดโหลดแอพ meet-up เพื่อหากลุ่มไปแฮงเอ้าอ่ะ ท้อแท้สาสสสส) แต่พอพ้นเดือนแรกไปแล้ว เราก็ไม่เหงามาก เพราะเพื่อนที่ไทยไปทำงานที่มิวนิคจ้า นี่ก็เลยไปหาเกือบทุกวีคเอน จนคนคิดว่าฉันย้ายไปอยู่มิวนิคละเนี่ย แล้วนี่เพื่อนๆ พี่ๆ อยู่มิวนิคกันเยอะมาก ไปทีคือ นัดได้หลายแก๊งเลย ไหนจะได้ไป Road trip ที่ออสเตรีย ซึ่งสวยแบบ นี่มันสวรรค์โว้ยยยย อยากตื่นมาเห็นภูเขาแบบนี้ทุกวัน ได้เจอเพื่อนที่ปีที่แล้วหนีไปนอนที่เบอร์ลินด้วย คิดถึงมากกก เม้ากันยาวๆ ได้เจอคนอีกมากมาย คือ เพื่อนไปทริปบริษัทเว้ย แล้วฉันก็ไปจอยด้วยเฉย คนนอกสึสๆ แต่ก็หาได้แคร์ไม่ ใครชวนผมไปไหน ผมไปหมด ถ้าเวลาว่าง เงินพอมี ไปครัส!!
ปีนี้คือมิติใหม่แห่งการไปเที่ยวอีกมุมมองนึง ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะทำได้ นั่นคือ.. ไปเที่ยวกับเพื่อนของเพื่อน (แบบที่ไม่เคยคุยหรือเจอหน้ากันมาก่อนเลย โคตรพีคอ่ะ) เพื่อนทักมาว่า แกไปเที่ยวเป็นเพื่อนกับเพื่อนฉันหน่อย นี่ก็เลย ทักมาดิ แล้วก็ไปเชร็ค(รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้) กับบูดาเปส (ไปอีกแล้วหรอวะ) ก็นั่นแหละครับ ทริปเจอเพื่อนใหม่
พอกลับมาเดนมาร์ก ชีวิตการเขียนทีสิสก็เริ่มต้นขึ้น พร้อมๆกับชีวิตปาร์ตี้บ้าคลั่ง จนสั่นกลัวไปหมดแล้ว แรกๆก็พยายามหลีกหนี ท้ายที่สุดคือ เออ ห้ามไม่ได้ก็จอยด้วยละกัน เอาให้หนักไปเลย!! มั่วซั่วกันให้สุดนะอิพวกเวร!!
อีกเรื่องที่ทำให้ชีวิตเศร้าก็คือเรื่องเงินนี่แหละ กำลังจะเรียนจบหมายความว่า เราจะไม่ได้เงินทุนแล้ว หมายความว่า เราจะไม่มีเงินเดือน หมายความว่า เราต้องหางานทำ ซึ่ง... งานมันไม่ได้หาได้ง่ายๆเลยนะเว้ย โดยเฉพาะ ฉันที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน เลยไม่มีประสบการณ์ใดๆเลย ไหนจะไม่มีคอนเนคชั่นที่นี่(ระบบคอนเนคชั่นที่นี่หน่ะ แข็งแกร่งนัก!!) บอกตรงๆว่า ตอนนั้นวิตกมาก เครียดสุด จะเอาชีวิตรอดยังไงดีวะ ครอบครัวก็กดดันให้กลับไทย แน่นอนว่าผมไม่พร้อมกลับตอนนี้ ฉันจะลองทำทุกอย่างให้ดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ คือได้จดหมายปฏิเสธมาจนชินแล้วอ่ะ ตอนนี้คือส่งรีเจคชั่นมาเลย ชินละ ไม่รู้สึกอะไรละ หดหู่จนชินไปเองแล้วเนี่ย
นี่เลยเริ่มหางานพาร์ทไทม์ทำ สมัครไปหมดเลยนะ ร้านอาหารไทยเอย อินเดียเอย แม่บ้านก็สมัครนะเว้ย เรียกฉันไปสัมภาษณ์ด้วย แต่พอคุยแล้ว รู้เลยว่า บรรยากาศการทำงานไม่โอเคอย่างแรง (เงินไม่มี ก็ยังจะเรื่องมากอีก) ช่วงนั้นก็ไปเป็นแม่บ้านอยู่เดือนนึงนะ คือ เป็นแม่บ้านแบบตามแอพพลิเคชั่นอ่ะ เขาจองมา เราก็ไปทำ เรียกเรทเงินเองได้ ตอนแรกก็สั่นกลัว เพราะไม่เคยทำมาก่อนเลย กลัวหลายๆอย่าง จะโดนกดหัวไหมวะ แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศที่เจริญแล้วเนี่ย เขาเป็นบุคคลที่เจริญแล้วจริงๆหน่ะ เขาเคารพเรามากๆ ไม่มีการจิกหัว หรือสั่ง เรารับรู้ได้ว่าเขาเคารพในเรามาก ไม่ได้มองเราเป็นคนอีกชนชั้นนึง ชวนดื่มน้ำ ทำกาแฟให้ ชงชาให้เรากินด้วยซ้ำ มันทำให้เรามองโลกกว้างขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น งานก็ไม่หนักขนาดนั้นด้วย ก็เหมือนทำงานบ้านปกติ แค่ปัด กวาด เช็ดถู แต่ก็ทำได้แค่เดือนนึง เราก็ได้งานที่ร้านอาหารไทย ที่เราสมัครไปแต่ไม่คิดว่าจะได้ เพราะร้านเขามีมิชลินสตาร์ แต่เขาก็ไม่ได้ให้เราไปทำร้านมิชลินหรอกนะ แต่ร้านอาหารในเครือร้านนี้ก็คือ มีเป็นสิบร้าน เพราะงั้นเราก็วิ่งหลายร้านเหมือนกัน เราเลือกจะทำงานในครัว เพราะจริงๆเราก็ชอบดูทำอาหารอ่ะ แล้วเราก็หวั่นกลัวกับการรับมือลูกค้า และภาษาที่เราพูดได้แค่อังกฤษ เริ่มต้นที่ไปม้วนเปาะเปี๊ย งานมีแค่นี้จริงๆ ชอบงานนี้มาก ดูหนัง ฟังเพลงไปด้วย ม้วนไปด้วย อย่างเพลิน แล้วก็เริ่มเข้าไปช่วยงานในครัว ช่วยทอด ช่วยย่าง ช่วยต้มซุปต่างๆ มีโอกาสได้ใช้เครื่องสูญญากาศด้วยอ่ะ คือ เคยเห็นเครื่องแบบนี้ในมาสเตอร์เชฟเท่านั้นแหละ ก็แฮปปี้กับพี่ๆที่ร้านมากๆ เราแฮปปี้ที่จะไปทำงานอ่ะ แล้วเจ้าของร้านก็เริ่มอัพเกรดฉันให้ฉันออกมารับมือลูกค้า คือเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว บางวันคือ ใส่ชุดเชฟตอนกลางวัน พอเย็นๆ กูเปลี่ยนชุดจ้า ออกไปรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มการค้า (เกลียดสุดก็คือต้องยิ้ม แม้กูอารมณ์ไม่ดี) แต่มันไม่ได้ง่ายเลยนะ การเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเนี่ย จริงๆก็อัพสกิลเราในหลายๆเรื่องนะ ต้องทำเครื่องดื่มด้วย ก็ได้เล่นเป็นบาร์เทนเดอร์ เชคๆคอกเทลหว่ะ พอได้ทิปส์ ก็อารมณ์ดีและมีกำลังใจในการทำงานเลยอ่ะ ก็ทำให้เรารู้นะว่า เวลาเราไปกินข้าวเนี่ย ถ้าเขาบริการดี เราก็ควรให้ทิปส์นะ(ยิ่งถ้าแกเรื่องมาก ขอโน่นนี่เยอะแยะ ช่วยให้ทิปส์เขาหน่อย) แล้วก็จะไม่ไปกินร้านอาหารตอนใกล้ปิด เพราะ พนักงานทุกคนอยากรีบปิดร้านกลับบ้านโว้ยยย
มาถึงเรื่องความรัก.. เรื่องที่เหมือนจะไม่เป็นปัญหา แต่ก็เป็นปัญหานะเว้ย บางทีแม่งก็ทำให้อารมณ์เหวี่ยงแบบไบโพล่าได้เลยนะ ถ้าถามเรื่องแฟน ก็ตอบเลยว่าไม่มี มีคนคุยไหม ก็ต้องตอบอีกว่าไม่มี ทุกคนก็คงงงๆหล่ะสิ ว่าแล้วฉันจะมีอารมณ์อกหักได้ยังไง ได้ดิวะ!! ก็ไปชอบคนที่เขาไม่ชอบเราไงโว้ย แล้วก็ต้องมาเห็นอะไรหลายๆอย่างที่แม่งทะลวงจิตใจสุดๆ ไม่ว่าจะเห็นเขาจีบคนอื่น ตามคนอื่น ให้ความสำคัญกับคนอื่น เจ็บจนปล่อยวาง จนชิน จนพอแล้ว จนอยากจะมูฟออนแล้ว แต่ก็โดนกระชากกลับไปที่จุดเดิมอีก มูฟออนเป็นวงกลมที่แท้ทรู เหมือนมันรู้ว่าจะมูฟออนหรอ ไม่มีทางซะหรอก!! แต่เราก็จะพยายามมูฟออนต่อไป เชื่อมั่นว่าวันนึงจะทำได้แน่นอน เราก็ภูมิใจกับตัวเองในเรื่องนี้เหมือนกันนะ เอาจริงๆ เรื่องนี้แม่งส่วนตัวมากๆ แต่เราก็อยากแชร์นะ เราเชื่อมาตลอดว่า เซกส์มันแลกความรักไม่ได้นะเว้ย มันเป็นประโยคที่ดึงสติมากๆนะ ก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ฉันจะมาถึงจุดนี้ได้ แม้เราจะชอบเขาแค่ไหน แต่เรารู้อยู่แก่ใจป่ะวะ ว่าเขาไม่ได้ชอบเรา แค่กล้าพอที่จะปฏิเสธอ่ะ แกจะภูมิใจในตัวเองเว้ย ไม่ได้หมายความว่า การมีเซกส์มันไม่ดีนะเว้ย แต่แกต้องเช็คตัวแกเองด้วย ว่าแกเอามันมาแลกความรัก เอาความรู้สึกใส่ลงไปแค่ไหน แกหวังอะไรหลังจากนี้ เพราะถ้าแค่สนุกๆขำๆไม่คาดหวังอะไร แกเอาเลยเว้ย ตามสะดวก แต่ถ้าแกคาดหวังจะได้รับความรักกลับมา อย่าเลยหว่ะแก ก็ไม่ใช่ว่าจะทำตามใจตัวเองไม่ได้นะเว้ย คือก็ทำได้ในลิมิตที่แกไหวอ่ะ แกไหวแค่ไหนก็ไปแค่นั้นแหละ เพราะสำหรับเราเป็น friend เฉยๆเถอะ อย่าเป็น friend with benefit กันเลย เพราะฉะนั้นเรื่องความรัก ยังเปิดอยู่จ้า ขอให้มา 555 แม้เราจะโง่เวลามีคนมาอ่อย และขี้รำคาญเวลามีคนมาเจ๊าะแจ๊ะ แต่นั่นแหละ ขอให้มา อดทนกูหน่อยยยย
แล้วเราก็เห็นความสัมพันธ์ประหลาดๆมากมายในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น open relationship ที่แบบว่าแกไปนอกกายได้นะ เอาเลย แต่ห้ามนอกใจ ซึ่งมันมีจริงๆนะเว้ย เพื่อนฉันนี่แหละ ตอนแรกก็ตกใจว่าได้หรอวะ แต่คือมันก็ได้จริงๆ แล้วแฟนมันก็โอเคด้วย หรือการอยากจะชวนๆกันไปทรีซั่ม มันก็ได้หรอวะ!! (แต่อันนี้เคยแต่ได้ยินเขาชวนกัน แต่ไม่รู้เขาทำกันไหม) หรือความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียก เป็นเพื่อนกันนะ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนธรรมดา จะเรียน friend with benefit ก็ไม่ได้ เพราะพวกมันก็หึงหวงกันเหมือนเป็นแฟน แต่คือก็ไม่เรียกแฟน เจอครอบครัวแล้วด้วย แต่ก็ยังไม่ใช่แฟน เป็นความสัมพันธ์ที่งงๆดี แต่ก็แล้วแต่เพื่อนจะสบายใจหน่ะ เราก็มีหน้าที่ support เท่านั้นเอง
อีกเรื่องที่ทำให้เราแฮปปี้ในปีนี้ แม้จะไม่แฮปปี้สุด แต่ก็แฮปปี้คือ หลีกับต้ามาหาเราที่ยุโรปแล้วโว้ยยยย ที่แฮปปี้ไม่สุด เพราะเราไปจอยทริปเที่ยวด้วยไม่ได้นี่แหละ มาตอนกูไม่มีเงินทำไมเนี่ยยย แต่อย่างน้อยๆเราก็ได้ไป Oktoberfest ด้วยกัน ตามความอยากของพวกเราทุกคน เมาขึ้นรถบัสข้ามประเทศ ไปลอยในคริสเทียเนีย ลองบราวนี่อวกาศ (เหมือนกุพาเพื่อนมาเสียคนเลย) แม้จะไม่ได้มีปาร์ตี้บ้าคลั่ง แต่ก็ดีใจนะที่พวกมึงมาหากู กูอยากให้มึงมาอยู่ มาสนุก มาบ้าไปกับกู คิดถึงหว่ะ
สุดท้ายนี้ ไม่รู้หรอกนะว่าปี 2020 จะดีหรือแย่แค่ไหน แม้จะเปิดปีมาแบบโทรศัพท์หาย ร้องไห้ดราม่า ปวดเข่าเยี่ยงคนแก่ แต่ก็ได้ปาร์ตี้สุดเหวี่ยง เค้าดาวน์แบบบ้าคลั่งสุดในชีวิต ได้ทำตามความฝันว่า ถ้ามีแฟนก็อยากทำแบบนี้ตอนขึ้นปีใหม่ แต่มันติดแค่ว่า ได้ทำแต่ไม่ใช่แฟนนี่แหละ
หวังว่าชีวิตเรามันจะแน่นอกว่านี้ แพลนได้มากกว่านี้ อยากอยู่นิ่งๆซักพักนะ ตอนนี้ชีวิตมันตื่นเต้นเกินไป เบาลงหน่อยก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม work hard party harder ค่ะ
PS ว่าจะเขียนสั้นๆ ยาวเฉยยยยยยย