วันต่อมาก็ลุกกันแต่เช้าอีกครั้ง มิคาเอลนัดพวกเราเพื่อพาไปทำบัตรแทรม ขณะนั่งรอมิคาเอลกันที่ห้องครัวพ่อหนุ่มห้อง 24 ก็ออกมาทำกับข้าวพอดี
“Hi~~~” นางก็ทักทายด้วยความแช่มชื่นตามปกติ จากนั้นเดินไปหยิบไก่จากตู้เย็นมาทำอะไรกิน ซักพักซุนตารก็ออกมาในจังหวะที่มิคาเอลก็เดินเข้ามาหาในห้องครัวพอดี
“พวกคุณจะซื้อซิมโทรศัพท์กันไหม” มิคาเอลก็เปิดคำถามขึ้นมา
“....” พวกเราก็นิ่งอึ้งหันมาปรึกษากัน เอาไงดีฟะ จะเปลืองเงินไหม อะไรยังไง
“จะเอาแบบเน้นโทรหรือเน้นอินเตอร์เนทดี”
“เอาแบบเน้นอินเตอร์เนทค่ะ” พวกเราก็ตอบพร้อมกันแบบไม่ต้องคิด
“อ่าาา ลองใช้ซิมของยี่ห้อนี้ดูสิ ราคาแค่แปดยูโรเอง ใช้อินเตอร์เนทได้สองเม็กเลยนะ” ขณะที่งงๆกันอยู่ พ่อหนุ่มห้อง 24 ก็พูดแทรกขึ้นมา นางก็แนะนำยี่ห้ออะไรซักอย่างมา ซึ่งแน่นอนว่า..ฟังไม่ทัน
“เดี๋ยวผมลองไปดูละกันนะ...คุณมาจากไหนหรอ”
“ผมเป็นคนสเปน มาเรียนอยู่ที่นี่”
“คุณมาเรียนวิศวะไฟฟ้าที่นี่หรอ”
“เปล่าครับ ผมมาเรียนเกี่ยวกับธุรกิจ มันแปลกใช่ไหมหล่ะที่ผมมาเรียนธุรกิจที่นี่” แล้วนางก็หัวเราะไปเรื่อย แล้วก็หยิบไก่จากตู้เย็นมาชั่งน้ำหนัก!! ห๊ะ!! ชั่งไก่แดก แล้วก็ยืนทำหน้าเคร่งเครียด คิดว่าจะกินอีกดีไหม ก่อนจะโยนไก่เพิ่มเข้าไปอีกชิ้น ทำไมเครียดขนาดนั้น เฮ้ยยย!! นี่แค่เรื่องแดกนะยูวววว
พวกเราก็ละทิ้งพ่อหนุ่มห้อง24 ไว้ในครัวนั่นแหละ ได้เวลาออกเดินทางกันไปใน city centre กันละ ก่อนสิ่งอื่นใดมิคาเอลก็พาพวกเราไปทำบัตรแทรมรายเดือนกันซะก่อน จากนั้นมิคาเอลก็พาไปเดินเล่นในเมืองดูโน่นนี่นั่น อธิบายว่ามันคืออะไรสำคัญยังไงซึ่งก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง บริเวณ city centre จะมีรูปปั้นและอนุสาวรีย์มากมาย รวมทั้งปะติมากรรมและสถาปัตยกรรมต่างๆที่เราชาวไทยต้องแปลกตาและไม่เคยเห็นแน่ๆ การคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมสไตล์... ซักสไตล์นึงนั่นหล่ะนะ เผอิญว่าไร้ความรู้เรื่องศิลปะโดยสิ้นเชิง(แต่ค้นหามาให้ละนะ สไตล์โกธิคนะจ๊ะ) เอาเป็นว่าในโซนของ city centre จะเป็นการผสมผสานทั้งในส่วนของสถาปัตยกรรมสมัยเก่า และสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
เดินไปเรื่อยๆเจอโบถส์สวยๆ ที่มีลานกว้างไว้ทำกิจกรรมต่างๆ มีการแสดงเปิดหมวกต่างๆทั้งดนตรี การแสดง คอสเพลย์เป็นตัวละครต่างๆให้คนมาจ่ายเงินถ่ายรูป ร้านขายอาหารทั้งไส้กรอกเยอรมัน กาแฟ หรือแม้กระทั่งไวน์ ที่มีการจัดโต๊ะและเก้าอี้ไว้บริเวณลานที่มีร่มไว้ด้านบนเพื่อให้ร่มเงา แต่ถ้าเดินเลยไปซักนิดก็จะเจอกับแหล่งชอปปิ้งประจำเมืองที่มีร้ายขายเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์แบรนด์ต่างๆที่เราก็รู้จักกันอย่างดี เช่น H&M TheBodyshop เป็นต้น
แน่นอนว่าเรามาเมืองเบรเมนที่มีตำนานนิทานเรื่องสี่สหายนักดนตรีแล้วทั้งทีจะไม่ไปดูรูปปั้นของเหล่าสี่สหายก็ดูจะผิดผีไปซักนิด(ใครอยากลองอ่านนิทานสี่สหายนักดนตรีแห่งเบรเมน คลิกเลยจ้า) มิคาเอลก็พาเราเดินไปหาเจ้าสี่สหายที่ขี่หลังกันอยู่สี่ตัว โดยมีความเชื่อว่าให้อธิษฐานและถูขาเจ้าลาตัวล่างก็จะทำให้สมหวัง แต่ก็สังเกตไม่ยากหรอกนะว่าเค้าถูกันตรงไหน เพราะไอ้ตรงที่ถูกถูเนี่ยถลอกจนทองเหลืองเด่นขึ้นมาเลย
ซอกซอยต่างๆบริเวณ city centre ก็จะแฝงไปด้วยปะติมากรรมทางศิลปะไปตลอดทาง รวมถึงซ่อนร้านขายแคนดี้แบบแฮนเมดไว้ด้วย ที่เมืองเบรเมนนี้มีช็อกโกแลตประจำเมือง ผลิตที่นี่ยี่ห้อ HACHEZ แน่นอนว่าชอปของช็อกโกแลตก็อยู่ที่ city centre เหมือนกัน รสชาติเยอะแยะละลานตาจนเลือกไม่ถูกเลย แต่แน่นอนว่าพวกเราตัดใจไม่ซื้อกันซักชิ้นเพราะช็อกโกแลตที่เฮสตี้กับมิคาเอลให้มายังอยู่ในตู้เย็นอยู่เลย
มิคาเอลพาเราเดินไปเรื่อยๆจนถึงย่านชอปปิ้ง ก่อนจะพาเดินไปถึงร้านซิมโทรศัพท์ซึ่งก็มีหลากหลายยี่ห้ออีกเช่นเคยแต่มิคาเอลก็พาเราไปจิ้มที่ยี่ห้อ O2 หาแพคเกจที่พอใจได้เรียบร้อย(พวกเราเลือกเป็นรายเดือน เดือนละ 10 ยูโร) พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ จนโผล่ไปเห็นกังหันลมหน้าตาน่ารักท่ามกลางดอกไม้ ต้นหญ้าและร้านกาแฟ เป็นสวนสาธารณะที่มีทะเลสาบ ต้นไม้สูงใหญ่ ทางสำหรับวิ่ง ร่มรื่นมากๆเลยหล่ะ หลังจากเดินเที่ยวกันซักพัก มิคาเอลกับซุนตารก็ขอตัวไปทำงานที่มหาวิทยาลัยต่อ พวกเราก็เลยต้องหาทางกลับบ้านกันเอง บัตรแทรมที่ซื้อมานั้นเราใช้ได้ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปลายเดือนเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นที่เราไปอยู่ เป็นช่วงสิ้นเดือนพอดี ต้องรอประมาณสองวันเราถึงจะใช้บัตรแทรมได้ ด้วยความงกแบบโคตรจะงกของเราทั้งสาม ก็เลยตัดสินใจว่า เดินกลับละกันวะ ก็เดินงมทางชมวิวกันไปเรื่อยๆ แวะซุปเปอร์มาร์เกตแถวๆกลางเมืองซื้อของนิดหน่อย ก่อนจะเดินแบบงมๆทางไป
“กุว่าเส้นทางมันแปลกๆละนะ ไม่มีคนเลยหว่ะ” ซักพักเราก็เริ่มเอะใจนะฮะ เอ่อ...เราหลงทางกันแล้วสินะ
“เฮ้ย โน่นๆๆๆ เดินไปทางโน้นไง เห็นแหลมๆนั่นเปล่า ไปเลยๆ” ในเมื่อหลงทางมึนงง ก็ต้องตามหาแลนมาร์ค นั่นก็คือ อาคารต่างๆที่อยู่ตรง city centre นะฮะ เราก็เดินกันไปจนถึงเจ้าสถาปัตยกรรมนั้นนั่นแหละ มีปีนป่ายบ้าง มึนงงบ้างแต่พวกเราก็รอดมาจนได้ ก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงบ้าน ก็ไม่ไกลมากหรอก เดินกันแค่สี่ถึงห้าป้ายแทรมเอ๊งงงงงง อากาศก็หนาวยะเยือกเล้ยยยย
...
..
.
“เดี๋ยววันพรุ่งนี้ตอนสองทุ่ม เจ้าของบ้านจะเข้ามาเก็บเงินค่าหอนะ” พอเจอหน้าซุนตาร ซุนตารก็บอกข่าวสารเรื่องนี้ทันที ดีมากเลยฮะ อยากจ่ายเงินแล้ว เก็บเงินเยอะไว้กับตัวแล้วไม่สบายใจเอาซะเลย
วันต่อมาพวกเราก็รอจ่ายเงินค่าห้อง เจ้าของหอ ชื่อไอก์ ก็มาเคาะประตูห้อง เปิดประตูไปก็เจอกับชายร่างสูง สูงกว่าห้อง 24 อีก ผอมๆ ดูมีอายุประมาณหนึ่ง แล้วนางก็พ่นอะไรไม่รู้มาเต็มเลย ใจเย็นครับเฮียยยย โอโหวววว มาถึงก็ใส่ยับ ให้กูเตรียมใจก่อนได้ไหม พอดีซุนตารเห็นว่าไม่น่ารอด เลยมาช่วยพูดช่วยคุยให้ ไอก์พูดเร็วมากกกก ต้องให้ซุนตารมาพูดช้าๆใส่อีกทีนึง ไม่งั้นมึนแน่ๆ เราก็ค้นหาเมลล์ที่เกี่ยวกับราคาห้องพักที่ตกลงกันไว้ให้ไอก์ดู ส่วนไอก์ก็ขอตัวไปเก็บเงินห้องอื่นก่อน พอหาเมลล์เจอพวกเราก็เดินลงไปหาไอก์พร้อมกับซุนตาร ก็เจอไอก์ยืนเม้าท์มอยกับห้อง 24 อยู่ เราก็ยื่นเงินไปให้ไอก์
“เคยเห็นแบงก์ใหญ่แบบนี้ไหม” ไอก์ก็หยิบแบงค์เอาไปให้ห้อง 24 ดู คือพวกเราจ่ายด้วยแบงค์ 200 ยูโร ที่ถ้าเอาไปจ่ายในซุปเปอร์ก็น่าจะมีโดนตบกันบ้าง
“ฮ่าๆๆๆ เคยเห็นสิ”
“ผมเคยเห็นแบงก์ใหญ่กว่านี้อีก แบงก์ 500 หน่ะ ได้มาจากคนปากีสถาน รวยน่าดูเลย” แล้วนางก็เม้าท์กันไม่หยุด ไอ้พวกเราก็ยืนเงี่ยหูฟังไปเรื่อยๆ จับใจความได้เท่าที่เล่าไปอ่ะนะ พอเราจะเดินขึ้นห้อง ไอก์ก็ทักมาซะก่อน
“@#$%^&*()@#$%^#$%^” เฮ้ยไรวะ!! ฟังไม่ทันเลย
“!@#$%^&#$%^#$%^$%” ซุนตารก็หันมาพูดให้ฟังอีกที แต่ตอนนั้นมึนงงไปหมดแล้ว หูบอดไปเรียบร้อย พูดอะไรกันนนนน แล้วเหมือนไอก์จะรู้ว่าเรางง เค้าก็เลยพูดใหม่
“!@#$%^&#$%$ เข้าใจไหม” ชิบหายละ ฟังออกแค่เข้าใจไหม ท่อนข้างหน้าหายไปไหน
"มึงๆอะไรคอนแทคๆวะ? ติดต่ออะไรวะ" ไอ้พวกเราก็มีแอบปรึกษากันตามแต่หูจะอำนวยว่าได้ยินอะไรมา ห้อง 24 เห็นว่าไม่น่ารอดนางก็เลยยื่นมือมาช่วย
“เอางี้นะ จะอธิบายให้ฟัง แบบนี้น่าจะง่ายกว่า @#$%@#$%^&$%^&$%^” เชี่ย!!! อะไรวะ หนักกว่าเดิมอีก เอ๋อหนักเลยทีนี้ ยืนแบบไม่กล้าสบตาใครเลย จนซุนตารต้องพูดใหม่อธิบายให้ฟังแบบช้าๆ
"!£$%^&*(!£$%^&*( .. big bill.. !£$%^&*()_" คราวนี้มีการทำมือวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้วย มองหน้ากันไปมา เห็นอิต้าทำหน้าเก็ทขึ้นมาละ
“คุณอยากจะเอาเอกสารสัญญาเช่าอะไรไว้ให้กับมหาลัยไหม เผื่อคุณต้องนำไปประทับตราอะไร” นี่คือสิ่งที่ต้าได้เงี่ยหูฟังออกมาจนสำเร็จนะฮะ โอโหวววว กว่าจะเข้าใจ
“ไม่จ่ะๆ ไม่เอาจ่ะ”
“แล้วพวกคุณได้ซักผ้ากันรึยัง ด้านล่างมีเครื่องซักผ้าอยู่นะ” ไอก์ก็ถามต่อด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มันมีเครื่องซักผ้าอยู่ตรงไหนกัน นี่แอบซักในห้องน้ำมาซักพักละนะ
“เดี๋ยวผมพาไปซักและเดี๋ยวสอนเองนะ” ซุนตารก็ออกตัวช่วยพวกเราไว้ เราก็โล่งใจไปเปราะนึง
“แล้วคุณมีเหรียญรึยัง ที่จะเอาไปซักผ้าหน่ะ”
“อ้อออ มีๆๆ” ตอบแบบเต็มปากเต็มคำ มั่นใจมาก แถมมีเยอะด้วย เป็นกระบุง เพราะตอนจ่ายเงินซื้อของไม่กล้าจ่ายเหรียญเพราะยังไม่รู้ราคา ฟังเค้าพูดเยอรมันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็จ่ายแบงก์ให้เค้าทอนอย่างเดียว
“คุณมีจริงๆหรอ?”
“มีสิมี”
“คุณมั่นใจหรอว่าคุณมี” อ้าว !! ทักซะพวกกูไม่มั่นใจเลย
“........” เอ่อ ลังเลเลยจ้า
“มันเป็นเหรียญสำหรับหยอดตู้ซักผ้านะ มีรูตรงกลาง” หึหึ ชัดเลย เข้าใจผิดดดดดด
“อ๋อออ ไม่มีจ่ะ” อายไหมหล่ะเมิงงงงงงงง!! หน้าแห้งเลยแสรสสส
“งั้นเดี๋ยวผมเอาให้คุณก่อน แล้วตอนคืนเงินมัดจำผมค่อยหักเอานะ” ไอก์บอกก่อนจะเอาเหรียญมาให้และนางก็ยืนเม้าท์กับห้อง 24 ต่ออย่างเมามันส์ ทั้งเรื่องคุณควรออกกำลังได้แล้วนะไอก์ คุณดูอ้วนขึ้น บลาๆๆๆ พวกเราก็ลี้ทับขึ้นห้องสิครับ จะอยู่ทำม้ายยยย ขึ้นห้องมาพร้อมกับความรู้ใหม่ที่ว่า contact แปลว่า ติดต่อ แต่ถ้า contract แปลว่าสัญญา ไงหล่ะโว้ยยยย การเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบฮาร์ดคอเริ่มขึ้นแล้ว...
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น