วันต่อมาเราก็ต้องออกเดินทางไปทำงานที่มหาลัย นั่งแทรมก็ประมาณ 45 นาที ต่อเดียวถึงสบายๆ แถมมีที่นั่งแน่นอนเพราะขึ้นมาจากต้นสายเลย พวกเราก็มีความหวังว่าเราจะต้องมีเพื่อนที่มหาลัย แต่พอเอาเข้าจริง เราได้นั่งทำงานกันในห้องส่วนตัว หันมองทางซ้ายก็หลี มองทางขวาก็ต้า เฮ้อออ!! ความฝันที่จะมีเพื่อนของช้านนนนน จบลงตรงนี้ นั่งทำงานโดยมีมิคาเอลเดินมาหาเช้า กลางวัน เย็น พาไปแนะนำให้คนโน้นคนนี้รู้จักมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าจำไม่ได้นะฮะ แถมชื่อมนุษย์ชาวไทยอย่างเราก็ยากที่จะจำได้ ไม่ว่าจะชื่อจริงที่ยาวและยาก หรือจะชื่อเล่นที่สั้นกุด
เฮสตี้ซึ่งเป็น advisor ยังไม่กลับจากประชุมที่ลอนดอน พวกเราก็เลยรับงานจากมิคาเอลแทน มิคาเอลก็ให้โจทย์มาฝึกทำ เราก็นั่งทำกันไป จนพอถึงเวลากลับ มิคาเอลก็เข้ามาไล่ให้กลับบ้าน แล้วก็สอนนับเลขภาษาเยอรมันนิดหน่อย ชีวิตก็แทบจะเป็นแบบนี้ทุกวันเลยทีเดียว แต่ประเด็นมันอยู่ที่การกินอาหารกลางวันนี่แหละ จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ที่โคตรจะเลวร้ายมากถึงมากที่สุด พวกเราจะลองไปโดนกันอีกครั้ง!!! โดยที่ผมมีตัวช่วยคือผงมาม่ารสต้มยำไปด้วย เราไปลองกันที่ร้านเดิมนี่แหละแต่เมนูอาหารได้เปลี่ยนไปแล้ว... หวังว่ามันจะดีขึ้น แต่... โอ้วมายก๊อดดด!!! อาการหนักกว่าเดิมอีก ทีนี้กินไม่ลงกันทั้งสามคนเลย อาหารอะไรของแกร๊ ให้มันบดมาครึ่งจาน เกิดมาไม่เคยกินมันบดเยอะขนาดนี้ แล้วก็มีเนื้อหมูมาต่อนนึง หนาๆเลยนะ เอาเป็นว่าใครชอบมันบดก็จะกลายเป็นเกลียดได้เลย ยกตัวอย่างเช่น หลี เป็นต้น คนชอบยังกินไม่ไหว นับประสาอะไรกับคนไม่กินของแหยะแบบฉันเล่า โอเค พวกเราเข็ดหลาบกับอาหารเมนซ่าแล้วจริงๆนะ
แต่วันที่พลิกผันชีวิตของพวกเราก็เกิดขึ้นครับ เมื่อเราได้คุยกับรุ่นพี่ที่มาปีที่แล้ว พี่ๆแนะนำให้ไปกินเบอร์เกอร์ในเมนซ่า ก็ไปลองเลยจ้า สั่งมารอบแรก ชีสเบอร์เกอร์ เค้าถามอะไรพยักหน้าทุกอย่าง สิ่งที่ได้มาคือ เบอร์เกอร์ต่อนใหญ่ๆหนึ่งต่อน และเฟรนฟรายซ์ที่ชิ้นหนาและเยอะสะใจ ซึ่งคนเยอรมันจะเรียกว่าพอมเมส เรียกเฟรนฟรายซ์นี่งงกันทั้งประเทศเลยนะ มื้อนั้นก็เกือบฟินละ พลาดตรงที่พอดีเป็นคนไม่กินเนื้อวัว และไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิตว่าชีสเบอร์เกอร์แม่งคือเนื้อวัว กูว่าแล้วววว ทำไมรสชาติมันแปลกๆ แต่ก็ยัดมันจนหมดหน่ะนะ และจำเป็นบทเรียนว่าทีหลังสั่ง ชิกเก้นเบอร์เกอร์เถอะ ปลอดภัยสุด และที่สำคัญ พอไปลองกินชิกเก้นเบอร์เกอร์แล้ว อร่อยมากกกกก อยากได้สูตรซอสด้านในเบอร์เกอร์มากกกก เพราะมันอร่อยแบบไม่เคยเจอที่ไหน ก็ฟินๆกันไป อิ่มหนำสำราญ การซื้อเครื่องดื่มหรือขนมต่างๆของที่นี่จะซื้อผ่านตู้หยอดเหรียญกันเป็นส่วนมาก เลือกว่าจะกินอะไร หยอดตังค์ จิ้ม ขนมหล่นลงมาให้กินละ แต่ถ้าอยากจะดื่มนมร้อนๆ กาแฟร้อนๆ ก็มีบริการเครื่องกดเครื่องดื่มด้วยเช่นกัน อยากกินอะไร เอาแก้วไปรองและกดเลือกตามใจชอบได้เลย
หรือบางวันพวกเราก็จะไปโดนของแพงกัน ซึ่งคนที่พาพวกเราไปกินส่วนใหญ่ก็คือเฮสตี้ สิ่งที่อยากลองกินมากๆในช่วงวีคแรกๆเลยก็คือ เคบับ!! ใช่!! เคบับอาหารตุรกีที่เจอได้ในประเทศเรานั่นแหละ เพราะร้านเคบับมีกระจายอยู่ทั่วเมืองยิ่งกว่าเซเว่น เดินเซไปชนตรงไหนก็ต้องโดนร้านเคบับบ้างแหละ เฮสตี้ก็จัดเลย บอกว่ามีร้านเคบับอยู่ในมหาลัยนะ อร่อยดีไปลองกินกัน พวกเราก็ไปกันเลยจ้าาา สิ่งแรกที่คิดหลังจากเข้าไปที่ร้านเลยคือ “ทำไมมันดูแพงจังว้าาาาา กินมื้อนี้นี่จะหมดตัวเลยป่ะเนี่ย” และสะดุดที่สองก็คือ “พนักงานในร้าน หล่อมว๊ากกกกกกกกกก” โอเคๆ มาขนาดนี้แล้ว กินก็ได้จ่ะ ช่วงเวลาแห่งการสั่งอาหารที่ลุ้นระทึกก็มาถึง
"กินอะไรดี สั่งเลยๆ" เฮสตี้ก็ถามพวกเรา คงรู้แหละนะว่าเราสั่งเป็นภาษาเยอรมันไม่ได้แน่ๆ
"แบบ roll กับแบบธรรมดาต่างกันยังไงคะ" พวกเราตัดสินใจถามเฮสตี้ว่า ไอ้เคบับแบบธรรมดากับแบบ roll นี่ต่างกันยังไงนะ ก็หน้าตาเคบับที่เรากินกันมันก็ม้วนอยู่แล้วนี่นาแล้วแบบ roll มันจะเป็นยังไงหล่ะ ราคาห่างกันเกือบเท่าตัวด้วย
"ซอรี่! ว๊อท? โลว??" แต่เฮสตี้ก็ไม่เก็ทกับเรา
"โรว อ่ะค่ะ โรว" พลางแอ๊คติ้งท่าม้วนไปด้วย ไม่พอ จิ้มเมนูให้เฮสตี้ดูเลย
"อ้อ!! โรล ...." แล้วเฮสตี้ก็อธิบายมาแหละนะ แต่ไม่มีสมาธิจะใส่ใจแล้ว ตอนนี้คิดได้แค่ว่า การเรียนภาษาอังกฤษบทที่สองเริ่มแล้ว การออกเสียงโคตรจะมีความสำคัญจริงๆ low row roll ออกเสียงผิดเพียงนิดชีวิตเปลี่ยน และพวกเราก็ออกเสียงไม่ถูกซักกะคำเลย...
ตัดสินใจจิ้มเจ้าตัวเคบับธรรมดามาหนึ่งชิ้น ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ก็พอที่จะจ่ายไหวอยู่ และเคบับที่ได้ก็อันใหญ่มากกกก ฟินมากกกก แป้งเคบับนี่กรอบมาก เต็มปากเต็มคำ และโปรดลืมเคบับโง่ๆข้างทางของไทยไปได้เลย!! คนละโลกชัดๆ ขณะที่แอมกับหลีกินเคบับ ต้าก็สั่งเป็น โดเนอร์ บ๊อกซ์มา ไอ้ตัวโดเนอร์ บ๊อกซ์ เนี่ยจะให้มาเป็นกล่อง ภายในก็จะมีเนื้อสัตว์ ผัก ที่เหมือนในเคบับ และก็มีพอมเมสให้ด้วย พอของมาเสิร์ฟเรียบร้อย
“เฮ้ยยย ของกูไม่ร้อนเลยอ่ะ อย่างกับเอาออกมาจากตู้เย็นอ่ะเมิง” ต้าก็เอ่ยขึ้นมาขณะที่แอมกับหลีกำลังซัดเคบับอย่างเมามัน ก็ต้องสนใจเพื่อนนิดนึง
“เฮ้ยไม่เป็นไรหรอกเมิง มันเย็นขนาดนั้นเลยหรอ”
“มันเย็นอ่ะ กูกินไม่ได้ ขอเปลี่ยนได้ป่ะวะ” ไอ้ต้าก็บ่นไปเรื่อย จนเฮสตี้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ต้าก็หันไปเล่าให้ฟังว่าอาหารที่ได้เย็นมากเลย เฮสตี้ก็จัดการเรียกพนักงานมาบอกว่าอาหารเย็นไม่สามารถกินได้ พนักงานก็เดินไปทำมาให้ใหม่ โดยที่ไอ้บ๊อกซ์เก่าก็ไม่ได้เก็บคืนไปแต่อย่างใด พออาหารมาเสิร์ฟ
“โอ้ยยย เชี่ย ร้อนนน” ไอ้ต้าก็มือเด้งเลยนะครับ เป็นไงมึง ร้อนสมใจเลยไหมแสรสสส ร้อนยันกล่อง!!
“กูว่าที่มันเย็นอ่ะ มันเย็นซอสเปล่าวะ คือของกูก็เย็นนะ แต่เป็นเพราะซอสที่ราดมา” ไอ้หลีที่นั่งกินๆไปก็พูดขึ้นมาลอยๆ ทำให้เริ่มเอะใจขึ้นมา
“เออหว่ะ ที่กูกินซอสมันก็เย็นนะเว้ย”
“อ้าว!! หรือว่ามันเป็นปกติวะ กูก็ดันไปเรื่องมากใส่อีก ก็กูเห็นว่ามันเย็นมากนี่หว่า” ไอ้ต้าเริ่มไม่มั่นใจ แต่มาขนาดนี้แล้ว ช่างมันเถอะต้าาาาา แถมมื้อนั้นต้าก็จกไอ้กล่องเก่ากลับบ้านด้วย ทำเอาอิ่มหนำสำราญไปอีกหนึ่งมื้อ ประหยัดไปได้มื้อนึงเว้ยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ นี่คงเป็นแผนอันชาญฉลาดของต้าสินะ สินะ สินะ แต่อาหารราคาไม่แพงมากเนี่ย ถ้ากินบ่อยไปก็คงไม่เวิร์ก เพราะเงินอาจจะหมดได้ เรามาอยู่กันแบบมัธยัสถ์ ประหยัดสุโค่ย เพราะเราต้องเก็บเงินไปเที่ยวยุโรปกันต่อ เราเลยขอตัดสินใจทำข้าวกล่องไปกินกันที่มหาลัยแทน งานแม่ศรีเรือนก็มา หญิงไทยใจงามชัดๆ
@Universität Bremen
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น