In ๐ทริปท่องเที่ยว๐ ดาลัด ท่องเที่ยว มุยเน่ เวียดนามใต้ โฮจิมินห์ Vietnam

หญิงไทยใจงาม กับ เวียดนามใต้วายป่วง
ep2: อย่าฝากชีวิตไว้กับการเดินทางไปดาลัด



"หลีๆ" เสียงเรียกของต้าที่มาพร้อมกับเสียงรูดซิบเต๊นท์ พอเห็นว่าเรานอนอยู่ด้านนอก ต้าก็เลยเปลี่ยนด้านเดินวนไปอีกฝั่งของเต๊นท์ และเรียกหลีอีกครั้ง... เราก็เลยลืมตาขึ้นมาหันไปมองอิหลีว่าทำไมมันไม่ลุกไปซะที ภาพที่เห็นคือ อิหลีนอนตายไม่ได้ยินสิ่งใด ไม่มีแสงใดลอดเข้าตามันไปได้เลย - - เนี่ย!!! มึงไม่ตื่น กูตื่นเนี่ย!! แล้วคนอยากไปวิ่งก็มึงเนี่ย ไม่ใช่กูวววววววว 

ก็เลยหันไปสะกิดให้มันตื่น ไอ้นี่ก็งัวเงีย งงแงอยู่พักนึง ในขณะที่ต้าก็ขอลาไปวิ่งที่หาดก่อน ไอ้เราจะนอนต่อก็นอนไม่หลับละ ตื่นมาขนาดนี้ รู้สึกได้ถึงแสงไฟขนาดนี้ นอนไม่ลงแล้ววว ก็เลยกะว่าจะไปรับลมเย็นๆ บรรยากาศดีๆเหมือนเมื่อวานอีกครั้ง แต่พอออกไปเดินที่หาดเท่านั้นแหละ... อือหืออออ ตาจะบอด แดดมันช่างจ้าซะเหลือเกิน แม้ลมจะเย็นแค่ไหน เจอแดดจ้าเบอร์นี้พี่ก็ขอลาไปนั่งเล่นในโฮสเทลแทนก็แล้วกัน ฝรั่งในโฮสเทลก็รื่นเริงมีความสุขกันมาก แน่สิ...แดดจ้าสมใจพวกมึงเลยสินะ แต่ละคนก็ไปเล่นเซิร์ฟกัน อยากลองเล่นมั่งนะแต่.. ไหนวะคลื่น มีแต่แดดที่โคตรจ้าขนาดนี้ ก็เลยนั่งโง่ๆ พยายามหาอะไรอ่านตามประสาโฮสเทล ที่มักจะมีโซนหนังสือที่ให้นักเดินทางมาหย่อนหนังสือไว้ได้ นี่ก็พยายามไปคุ้ยๆดูว่ามีอะไรที่พอจะอ่านได้บ้างไหม แต่ส่วนใหญ่ก็มีภาษาเวียดนาม(ของโฮสเทลเอง) ภาษารัสเซีย ภาษาเดนมาร์ก ฯลฯ เท่ากับว่า..นี่กูพึ่งหนังสือที่นี่ไม่ได้เลยสินะ หลังจากนี้ก็เลยมาดมั่นว่า เวลาไปที่ไหนคงต้องพกหนังสือซักเล่มแล้วหล่ะ



หลังจากร่อนเร่หาหนังสืออ่าน หาปลั๊กไว้ชาร์ตแบต(ซึ่งมีปลั๊กแต่ไม่มีไฟฟ้า ตัดไฟทำม๊ายยยยย) ต้ากับหลีก็วิ่งกันเสร็จเรียบร้อยละ ไอ้เราก็เลยตัดสินใจไปนั่งที่บาร์ เพราะมีปลั๊กอยู่ตรงนั้นพอดี สั่งเค้กเวียดนามมาลองชิมซะหน่อย แล้วก็กาแฟเวียดนามสไตล์ที่เราชื่นชอบ ในส่วนของตัวเค้กนั้นนนน... มันคือเค้กนึ่งอ่ะแกไม่ใช่เค้กอบ เพราะฉะนั้นเนื้อมันเลยเหมือนซาลาเปามากกว่าจะเป็นเค้ก นึกซะว่ากินซาลาเปารสช็อกโกแลตละกัน



ตัดสินใจเดินไปอาบน้ำแต่งตัวรอเวลาเดินทางไปดาลัดในตอนบ่าย ใช้เวลาเดินทางไปประมาณ5-6 ชม.เห็นจะได้ จังหวะนั้นก็เดินสวนกับสาวน้อยที่เราไปคุยด้วยที่ทะเลทรายพอดี เขากำลังเดินมาเก็บของคงจะไปรสบัสรอบเช้าแน่ๆ ก็เลยกล่าวลากันพอเป็นประมาณ จากนั้นก็จัดการลากเพื่อนทุกคนให้ตื่นและทำการเช็คเอ้าท์รอรถมารับ ซึ่ง.... รอรถนานมาก นานมากๆ จนทนไม่ไหว แทงพูลก็แล้ว นอนก็แล้ว จนมีความคิดว่าจะอยู่ต่ออีกคืนละเนี่ย เพราะเห็นว่าคืนนี้จะมีผับครอล์(เป็นแบบว่า ย้ายผับไปเรื่อยๆยันเช้า) กว่าจะมาได้ นี่จะถึงดาลัดกี่โมงคะ ถามหน่อยยยย



พอได้เวลาขึ้นรถเราก็คิดว่าจะได้นั่งและนอนสบายๆหน่อย พบว่า.. มึงมารับกูเป็นที่สุดท้ายใช่ไหม? คือทุกคนต้องกระจายตัวไปหารูว่างบนรถ ซึ่งมันน้อยนิดมาก รถบัสคันเล็กมากๆ เล็กกว่ามินิบัสบ้านเราซะอีก ทั้งคันอัดแน่นด้วยคน เราและหลีโดนเตะมานั่งข้างหน้าถัดจากคนขับมาหนึ่งที่ นั่งกันคนละฝั่งโดยสิ้นเชิง อิเจ๊ที่นั่งข้างๆเราก็หลับสบายไร้ความแคร์โลก อีกนิดก็คือนอนทับกูละ เราก็พยายามจะนั่งให้เข็มแข็ง เพราะเส้นทางมันแคบและโยกเยกเอยมากๆ เข้าใจเลยว่าทำไมรถถึงได้เล็กขนาดนี้ ไอ้พวกนั่งข้างหลังก็ใช่ว่าจะสบาย แต่ละคนนั่งกันขาพับ ขาเบียด เหยียดขาไม่ได้เหมือนๆกันหมด เห็นใจคนตัวใหญ่อย่างกูบ้างซิ

เหล่าเพื่อนๆด้านหลัง ผ่านไปซักพักก็คงหลับกันสบาย ไอ้ตัวเราและหลีที่นั่งข้างหน้าเห็นเส้นทางทุกอย่างชัดเจนอย่างกับหนัง 4d ไม่สามารถข่มตาหลับลงไปได้จริงๆ จินตนาการทางขึ้นเขาแคบๆที่แทบจะสวนกันไม่ได้ มีทางโค้งตลอดทาง บางที่มีการซ่อมถนน... ทางแคบมึงยังจะซ่อมถนนกันไปอีก แล้วรถก็ดันจะมาสวนกันตรงนี้อีก ไหนจะจังหวะทางโค้งขึ้นเขาที่อยู่ๆมอเตอร์ไซด์ก็ขับสวนออกมา ทำเอารถทั้งคันต้องหักหลบและต้องหักกลับมาในเลนส์เดิมทันทีก่อนที่จะตกเหวข้างทางไป เหล่าเพื่อนด้านหลังแค่รู้สึกว่า รถกระตุกคงจะเป็นทางโค้ง แต่พวกกูข้างหน้าที่มองทางตาแป๋วเนี่ย ใจไปที่ตาตุ่ม หันหน้าไปสบตากับหลีหลายรอบมาก "อย่างงี้ก็ได้หรอวะ กูจะรอดถึงปลายทางถูกไหม?"



ไหนจะประสบการณ์มีไก่และบรรดาลูกเจี๊ยบเดินตัดหน้ารถแบบ ต๊อกแต๊กๆๆ หรือจะเป็นหมูป่าสีดำเดินตัดหน้ารถ หรือจะเป็นฝูงวัว หมา นี่กูอยู่ดินแดนไหนกันวะเนี่ยยยย!!! เกลียดสุดก็หมูป่ากับไก่นี่แหละ มึงเดินชิลกันมาก สนใจรถที่เร่งเครื่องจะไปชนมึงอยู่แล้วหน่อยสิ นี่แม่งโคตรอันซีน ยิ่งกว่าขึ้นรถไฟเหาะในสวนสนุกซะอีก ไหนจะอยู่ๆลุงก็ดับเครื่อง เพราะเจอทางลง ลงแบบมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย เห็นแต่ถนนที่อยู่ๆก็หายไปและพอถึงขอบถนนนั้น ฟิ้ววววว ดิ่งลงไปยาวๆเลยจ้าาา บอกเลยว่าไม่สามารถข่มตานอนลงได้อย่างสบายใจจริงๆ จนกระทั่งรถเริ่มขับเข้ามาในเมืองไม่ใช่เส้นทางขึ้นเขาอีก ก็ทำให้เราสบายใจแอบนอนหลับไปวูบนึงได้

พอเริ่มเข้าตัวเมืองดาลัดก็ต้องขึ้นเขากันอีกแล้วครับ แต่รอบนี้ถนนหนทางดีเยี่ยมมีเหล็กกั้นอย่างสวยงาม อากาศเริ่มเย็น คนขับก็เริ่มเปิดหน้าต่างปิดแอร์รับลมธรรมชาติแทน เปิดเพลงบิ๊วอย่างดังให้ทุกคนในรถต้องตื่น ยังไงก็ต้องตื่น เพลงดังสัสๆๆๆๆๆ หูแทบจะอื้อ หลังจากที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบติดๆดับๆตลอดทางนั้น ในที่สุดเราก็ใช้งานอินเตอร์เน็ทได้อย่างจริงๆจังซักที



พอเข้ามาในตัวเมืองดาลัด ฟ้าก็เริ่มจะมืดลงเรื่อยๆแล้ว สังเกตชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ ทุกคนใส่เสื้อโค้ทกันอย่างหนา บางคนใส่เสื้อขนเป็ดออฟชั่นแน่นไปอีก ตัดภาพมาที่แก๊งชะนีชาวไทย ที่แต่งตัวกันแบบอะโลฮ่าท้าทะเลมากๆ ไม่ว่าจะเสื้อกล้ามบางเบา กางเกงขาสั้นชิคๆ กางเกงผ้าพลิ้วๆ เดี๋ยวนะ... ไหนตอนเช็คอากาศกันมาบอกว่าอุณหภูมิไม่ต่ำมากไง พอก้าวเท้าออกมาจากรถเท่านั้นแหละ อากาศของจริงปะทะหน้า ปะทะผิวกายแบบพีคสัสๆ ถึงกับต้องรีบเดิน+วิ่งเพื่อไปให้ถึงโรงแรมแบบโดยด่วน โรงแรมก็ห่างจากตรงที่จอดรถไม่ไกลมาก (รถมันจะจอดตรงโรงแรมทิวลิปอ่ะ สาขาไหนไม่รู้ ลืม) หลังจากหาที่พักเจอเราก็รีบเช็คอินเพื่อหลบหนาวในทันที ไม่ไหวแล้ววววว ก่อนจะพยายามหาเสื้อผ้าที่คิดว่าหนาที่สุดแล้วมาใส่เพื่อเดินออกไปหาอะไรกินกัน ห้องพักที่ดาลัด เราจองห้องสำหรับหกคนไว้ ก็สบายสุดๆ วอลเปเปอร์ในห้องเป็นป่าเวอร์ชั่นใช้สีมาวาดด้วย ไหนจะผ้าปูเตียงลายม้าลาย นึกว่าอยู่ในเอ็มวี Roar ของ Katy Perry ไปอีกกกกก



แต่การออกจากโรงแรมในเวลาฟ้ามืดแบบนี้นั้น มันทรมานมากๆ อารมณ์ที่ทั้งหิว ทั้งหนาวไปพร้อมกัน ก็เลยแวะซื้ออะไรปิ้งๆหน้าโรงแรมมากินซะเลย ไม่รู้จริงๆว่าเรียกว่าอะไรแต่เป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ห่อผักปิ้ง บาร์บีคิวเวอร์ชั่นเวียดนามนั่นแหละ พยายามคุยกับคุณป้าคนขายว่านี่มันเนื้ออะไร เอาตรงๆก็กลัวเนื้อหมาอยู่เหมือนกัน แต่ป้าก็ไม่สามารถคุยกับเรารู้เรื่องได้ จนมีหนุ่มเวียดนามมาช่วยพูด ช่วยถามให้ โดยที่อิหนุ่มนั่นก็มีความอยากจะแอ๊วอิปุ้มไปอีก (โชคดีที่เป็นแก๊งชะนีและกูมีเพื่อนสวย แต่ๆๆ เสียใจด้วยนะหนุ่ม มันพาแฟนมาด้วยค่ะ) ตอนนั้นไม่รู้หรอกนะว่าอร่อยจริงๆหรือว่าหิว แต่แม่งโคตรสวรรค์แห่งความอร่อย พอเดินต่อไปอีกหน่อยก็เห็นร้านขายหมวกและถุงมือกันหนาวอยู่ พวกเราก็จะไม่ทนอีกต่อไป แวะซื้อกันไปเลยหมวกคนละใบ ระหว่างทางก็มีขนมให้ได้แวะชิมกันตลอดทาง สายแดกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว วะฮ่าฮ่าฮ่า



เดินกันมาเรื่อยๆจนเจอตลาดกลางคืนที่แม่งโคตรใหญ่ และที่สำคัญเดินออกมาจากโรงแรมแค่นิดเดียวก็ถึงแล้ว เราก็จัดเลยครับเดินลงไปหาของกิน ปุ้มมันก็แวะซื้อสตรอเบอรรี่มากินแบบเวอร์ชั่นโดนโกงราคา อินี่ก็คิดไม่ทัน จ่ายเงินเขาไปอีก หวานหมูคนขายไปอีก ถือว่าเป็นบทเรียนให้เราคำนวณเงินดีๆก่อนซื้อละกัน แน่นอนว่ามาถึงเวียดนาม ปุ้มก็นำเสนอพิซซ่าเวียดนาม(ไม่รู้มันเรียกอะไรแต่พวกฉันเรียกแบบนี้) เป็นแผ่นๆทำจากไข่ใส่เครื่องข้างใน แล้วก็ม้วนๆมาให้คล้ายโตเกียวยักษ์ มีขายอยู่เต็มตลาดไปหมด ส่วนใหญ่เป็นอารมณ์หาบเร่ แล้วเอาเก้าอี้ตัวเล็กๆมาวางไว้ให้เราไปนั่งกินได้ เราก็ตัดสินใจจิ้มมันซักเจ้านึง เข้าไปนั่งกินกัน ซึ่งก็มีแก๊งหนุ่มเวียดนามนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย จังหวะนั้นของแดกสำคัญที่สุด ขณะรอป้าม้วนพิซซ่ามาให้ ปุ้ม หลี ต้า ก็ไปซื้อมันเผามากินกะว่าเอามาอุ่นๆ ฟินๆกินตอนหนาวๆ พอซื้อมาเท่านั้นแหละ เย็นเฉียบมาเชียว นี่พึ่งเอาออกมาจากตู้เย็นหรอจ๊ะ 5555 จบกันความฟินของเพื่อนตูววว แต่ไม่เป็นไรยังพอจะมีน้ำเต้าหู้อุ่นๆแก้ขัดไปได้บ้าง แม้มันจะหวานเกินไปหน่อยก็เถอะ



รอไปรอมา ไอ้แก๊งหนุ่มที่นั่งอยู่แถวๆนั้นแม่งก็กลายเป็นว่ารวมกันเป็นกลุ่มเดียวกับเราเฉยเลย เอาละไง... มึงหมายใครแน่ๆ เราก็คิดละ อิปุ้มชัวร์ๆไม่น่าจะใช่ใครอื่น และเราก็เริ่มจะกลัวๆไอ้แก๊งนี้ละด้วย เพราะเล่นโทรศัพท์อยู่ไง แล้วมันก็มาแอบมองอ่ะ ว่าเล่นอะไร เสือกอะไรกุเนี่ยสึส!! แต่ก็ทำได้แค่เอียงโทรศัพท์ไม่ให้มันเห็นชื่อเฟส ชื่อไอจี หรือชื่ออะไรก็แล้วแต่เด็ดขาด รู้สึกระแวงขึ้นมานิดๆ แถมมันยังหันไปคุยภาษาเวียดนามอะไรกับป้าคนขายซักอย่างอีกด้วย มีเซ้นส์เลยว่า เกี่ยวกับพวกกูแน่ๆเลย นี่กูระแวงไปหมดละนะ แต่เราอาจจะคิดไปเองก็ได้ ไม่มีอะไรหรอก

แต่พอป้าทำอิพิซซ่านั่นเสร็จก็เรียกพวกเรา เราซึ่งนั่งใกล้ป้าสุดก็เลยจะหันไปรับ แต่ป้าดันยื่นให้ไอ้แก๊งหนุ่มนั่นแทน หน้าแทบแหก โอเค พวกมันมาก่อนก็ต้องได้ก่อนอ่าเนอะ แต่ไปๆมาๆ มันดันมาสะกิดไหล่เรา แล้วก็ยื่นอิพิซซ่าส้นตีนนั่นมาให้.... อิชิบหาย!! หวยออกที่กูหรอเนี่ยไอซั๊ซซซซ ก็เลยเอื้อมมือไปรับและยื่นไปให้เพื่อนคนอื่นก่อน แต่ไม่มีใครรับพิซซ่านี้ไปจากกูเลย อิเพื่อนจังไร!!!

"เขายื่นให้มึง มึงก็กินไปสิ" โอ้ยยยย ห่วงกูบ้างไหม มันดีลอะไรกับอิป้าคนขายก็ไม่รู้นะเว้ย กูจะกล้าแดกได้ไงอ่ะ แต่อิพวกเพื่อนแม่งก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย มองหน้ากุ กดดันให้กูแดกไปอีก เออ แดกก็แดก!!! ยังไงพวกมึงก็ต้องรับผิดชอบไปกับกูนี่แหละ!! หลังจากนั้นอิพวกแก๊งเวียดนามแม่งก็ทำหน้าที่ส่งพิซซ่า ซึ่ง... กูหันไปหยิบเองก็ได้มะไม่ต้องแสดงน้ำใจ กูกลัวจริงๆนะ ก่อนจะจากไปยังจะมาทิ้งท้ายอีกว่า "เจอกันที่โฮจิมินห์นะ" ... มึงรู้ได้ไงว่ากูจะไป ฟ้ากกกกก!!



หลังจากผ่านเหตุการณ์หลอนๆโดยที่กูแทบจะไม่อยากรับรู้รสชาติของพิซซ่าส้นตีนนั่นเลยซักนิด ก็ออกเดินตลาดเล่นกันต่อ เป็นตลาดที่โคตรจะใหญ่แล้วก็ระยะทางยาวไปตลอดเส้นตรงนี้เลย เดินเพลินมาก ของขาย ของกินเต็มไปหมด แน่นอนว่าเรายังไม่อิ่มท้องกันพอ เลยขอแวะกินหอยที่เขาขายตั้งไว้เป็นกะละมังๆให้เราเลือกกินอย่างหนำใจ ก็จิ้มๆไป และเดินไปหาที่นั่ง แน่นอนว่าเวียดนามสไตล์ฮะ เก้าอี้เตี้ยๆ โต๊ะต่ำๆ ให้ได้ฟีลเหมือนซักผ้าไปด้วย กินไปด้วย แล้วเราก็เดินไปแวะซื้ออะไรซักอย่างที่หน้าตาดูเหมือนกระเพาะปลาบ้านเรามากๆ แต่มีความจีนสูงกว่า และเดินไปซื้อเฝอมากินอีก จังหวะที่นั่งกินแทะหอยกันอย่างอร่อย จนอิ่มหนำแล้ว จังหวะลุกขึ้นยืนนั้นเอง...

"โอ้ยยย... ขากู" ไอ้ปุ้มก็ร้องโอดครวญขึ้นมาและเอามือจับข้อเท้าตัวเองไว้

"เฮ้ยยยยย เป็นอะไร ขาแพลงป่ะเนี่ย" ทุกคนก็แตกตื่นกันมาก ต้องบอกเลยว่าปุ้มมันมีปัญหากับขาข้างนี้มาก่อนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามันเจ็บนี่น่ากลัวละ

"มึงกลับห้องก่อนเลย เดี๋ยวพวกกูหาซื้อของกินไปตุนให้" แล้วเราก็ได้ส่งมอบปุ้มให้พี่เป็ดไปดูแลโดยสมบูรณ์ ส่วนไอ้พวกเราที่เหลือก็ซื้อของกันต่ออีกนิดหน่อย กะว่าจะไปลิ้มลองความอร่อยของเบียร์เมืองนี้ซะหน่อย แต่ก็ไม่อาจทานทนกับอากาศโคตรหนาวได้จริงๆ ขอไปขลุกตัวอยู่ในห้องพักน่าจะเป็นการดีที่สุด(โดยมีกิจกรรมถ่ายรูปบ้าบอคอแตกในห้องพักคลายเครียด 555) แล้วไว้เรามาลุยกันต่อพรุ่งนี้ กับภารกิจตามหาแหนมเนือง เวอร์ชั่นออริจินัล!!





11 Feb 2017 @Dalat


Related Articles

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น