[อ่านตอนแรกที่นี่นะ หญิงไทยใจงาม กับ เวียดนามใต้วายป่วง ep0 : จุดเริ่มต้นความฟ๊ากกกก]
ย้อนความนิดๆ คือตอนนี้เราอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบ The Walking Dead ที่มุยเน่ ณ เวลาตีสามกว่าๆ
...
..
.
ขณะที่เรายืนเอ๋ออยู่ตรงอู่รถเพื่อหาทางไปต่อ พนักงานรถก็ออกมาชี้ให้พวกเราเดินไปที่โค้งด้านหน้าเพื่อเรียกแท็กซี่...
"..." พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เอาไงดี ตรงนั้นมันจะมีรถจริงๆหรอ ดูบรรยากาศละ แม้แต่หมาก็ไม่น่าจะมี พ่อคนรถเห็นเราทำตัวงงๆก็เลยให้พวกเรารอที่เดิม และเดินไปหารถแท็กซี่ให้พวกเราแทน ใจดีโคตร!! และแน่นอนว่าตามคาดเลยตรงนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ พนักงานรถเลยส่งสัญญาณให้เราเข้าใจว่าเดี๋ยวโทรเรียกแท๊กซี่ให้เอง ให้รอตรงนี้แหละ (ที่มันไม่มีคำพูด เพราะไม่ได้พูดกันด้วยปากเลย อวจนภาษาล้วนๆ) รอกันไปได้ซักพัก แท็กซี่ก็มาจอดรับเรา พวกเรานี่แทบกราบพ่อหนุ่มคุมรถ ที่ไม่ยอมไปไหน รอส่งเราให้ถึงฝั่งฝัน ไม่ขอเงินหรืออะไรก็แล้วแต่ที่น่ากลัว เอาจริงๆตอนนั้นระแวงมากว่า มันจะเตรียมอะไรกันไว้ไหม หลอนไปหมด แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นดี แท็กซี่ไม่โกง ไม่ขับวน ไม่พาอ้อม(พี่เป็ดเช็ค map ตลอดเวลา) และเราก็มาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ มองไปด้านในก็ยังเห็นฝรั่งเต้นกันอยู่ โอเค เรามีหวังละ อย่างน้อยก็มีสิ่งมีชีวิตหล่ะวะ...
หลังจากพูดคุยกับฟร้อนท์อยู่ซักพักและเราก็อารมณ์ขึ้นแทบตบกันฟร้อนท์ คือเหวี่ยงใส่เรามาก ด้วยที่ไม่ชินสำเนียง เราก็ฟังยากอยู่แล้ว แล้วยังจะมาทำหน้าบูดใส่อีก ทุกคนก็พยายามปลอบว่า มันดึก เขาก็คงง่วง.. แต่นี่คือหน้าที่มึงไง อาชีพมึงคือบริการอ่ะ กูก็ง่วงโว้ยย ถึงได้ขึ้นเหมือนกันเนี่ย!! หลังจากคุยกันรู้เรื่องเราก็ต้องแยกย้ายกันไปนอน โดยการจองของเรานั้นจองเตียงมาแค่ 4 เตียง เพราะมันเต็ม อีกสองคนเลยต้องเสียสละตนไปนอนเต๊นท์(ที่พักที่นี่ดึงดูดใจเรามากเพราะมีให้นอนเต๊นท์กับมีบาร์ 24 ชม.นี่แหละ) หวยก็มาออกที่เรากับหลี ที่ต้องแยกไปนอนในเต๊นท์..
บริเวณสวนของโฮสเทลมีเต๊นท์กางอยู่เต็มสวน ฟร้อนท์ก็พาเราเดินไปที่ล็อคเกอร์เก็บของ แจกกุญแจเรา ชี้บอกว่าห้องน้ำอยู่ไหน และก็พาไปที่เต๊นท์ของเราสองคน ระหว่างทางก็มีเสียงกบร้องเป็นแบคกราวน์ให้ได้หลอน เดินไปเข้าเต๊นท์ เจอกบโดดมาตัดหน้าหนึ่งตัว แทบกรี๊ดลั่นโฮสเทล แต่มีสติที่จะยั้งตนเองทัน รีบเดินไปที่เต๊นท์อย่างไว
หลังจากพนักงานโรงแรมส่งเราเสร็จ พวกเราก็เดินไปทำธุระส่วนตัวกันที่ห้องน้ำ โอโหววว ห้องน้ำหวิวมาก ไร้ซึ่งประตูมีเพียงม่านกั้นไว้บางๆเท่านั้น ทั้งห้องส้วม และห้องอาบน้ำ... กูจะขี้อย่างสบายใจได้ยังไงถ้าต้องนั่งมองลอดม่านแล้วเห็นคนเดินผ่านไปมา นี่ไม่เก็ทเลย ห้องอาบน้ำยังจะพอเก็ทอยู่และรับได้ แต่คือนี่ห้องขี้ที่ต้องใช้สมาธินะเว้ย!! ก็แอบเดินไปหาเพื่อนๆที่เหลือเพื่อฝากชาร์จแบตโทรศัพท์ ก่อนจะวกมานอนในเต๊นท์ ซึ่งในเต๊นท์นั้นมันดีกว่าที่เราคิดมาก เราจองเต๊นท์คู่มา ก็จะได้เต๊นท์ใหญ่หน่อย ด้านในมีฟูกนิ่มๆ หมอน ผ้าห่มมาให้พร้อม เอาเป็นว่าหลับสบายหายห่วง แต่ถ้าจะให้ดีเราน่าจะได้เต๊นท์ริมทะเลนะ จะได้นอนฟังเสียงทะเลแบบฟินๆ(มันจะสัมผัสธรรมชาติมากเกินไปสินะ) แต่นี่ได้ยินแต่เสียงกบร้องทั้งคืนเลย ฮืออออ
หลังจากพนักงานโรงแรมส่งเราเสร็จ พวกเราก็เดินไปทำธุระส่วนตัวกันที่ห้องน้ำ โอโหววว ห้องน้ำหวิวมาก ไร้ซึ่งประตูมีเพียงม่านกั้นไว้บางๆเท่านั้น ทั้งห้องส้วม และห้องอาบน้ำ... กูจะขี้อย่างสบายใจได้ยังไงถ้าต้องนั่งมองลอดม่านแล้วเห็นคนเดินผ่านไปมา นี่ไม่เก็ทเลย ห้องอาบน้ำยังจะพอเก็ทอยู่และรับได้ แต่คือนี่ห้องขี้ที่ต้องใช้สมาธินะเว้ย!! ก็แอบเดินไปหาเพื่อนๆที่เหลือเพื่อฝากชาร์จแบตโทรศัพท์ ก่อนจะวกมานอนในเต๊นท์ ซึ่งในเต๊นท์นั้นมันดีกว่าที่เราคิดมาก เราจองเต๊นท์คู่มา ก็จะได้เต๊นท์ใหญ่หน่อย ด้านในมีฟูกนิ่มๆ หมอน ผ้าห่มมาให้พร้อม เอาเป็นว่าหลับสบายหายห่วง แต่ถ้าจะให้ดีเราน่าจะได้เต๊นท์ริมทะเลนะ จะได้นอนฟังเสียงทะเลแบบฟินๆ(มันจะสัมผัสธรรมชาติมากเกินไปสินะ) แต่นี่ได้ยินแต่เสียงกบร้องทั้งคืนเลย ฮืออออ
ตอนเช้าเราชาวเต๊นท์ แอมหลี ไม่สามารถนอนต่อได้อีกแล้ว ตื่นมาตอนช่วง 7 โมงเช้า ด้วยที่ว่าเต๊นท์ก็ไม่ได้เก็บเสียง คนก็ทยอยตื่น เสียงพูดคุยแทรกเข้ามา เสียงล้างจานก็มี เสียงรถเข็นก็เริ่มดัง...โอเค พวกกูตื่นก็ได้ ยอมแล้วจริงๆ [ปล. ฝั่งชาวประชานอนห้องก็ไม่ได้นอนหลับสบาย เปิดแอร์ก็เสียงดังนอนไม่หลับ พอไม่เปิดแอร์ก็ร้อนไปอีกกกก แถมต้ามันยังรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ แบบว่าอาจจะมีพลังงานซ่อนอยู่ก็เป็นได้~~]
พอรูดซิบม่านออก ภาพที่เห็น กับบรรยากาศที่ได้รับมันทำให้เราโคตรฟิน อากาศยามเช้า ลมพัดแบบเย็นๆ และเช้าวันนั้นเมฆบนท้องฟ้าค่อนข้างเยอะทำให้ไม่มีแดด เราตัดสินใจไปนั่งเล่นที่ชิงช้าริมหาด มันเงียบสงบ มีปูลมวิ่งอยู่ที่หาด นกสองตัววิ่งเล่นกันตรงชายทะเล แม้ทะเลจะไม่สวยเท่าประเทศเรา แต่ก็ผ่อนคลายเราได้จริงๆ บรรยากาศดีจนตัดสินใจเดินเล่นบนหาดไปเรื่อยๆ วิ่งเล่นบ้าง ออกกำลังกายบ้างจนเริ่มหิวแล้วหล่ะ เลยตัดสินใจเดินไปปลุกเพื่อนให้ตื่นมากินข้าวกัน แต่สมาชิกที่ตื่นทีเพียงชัยและต้าเท่านั้น สงสัยจะเช้าเกินไป และเพราะอาหารเช้าวันนี้ทำให้เราได้ค้นพบว่า กาแฟอร่อยโคตรรรร รสชาติและกลิ่นให้อารมณ์ลูกอมโกปิโก้เลย หอมๆรสชาติไม่หวาน(เพราะสั่งหวานน้อย) แล้วก็เริ่มสังเกตผู้คนรอบข้างที่พักโฮสเทลด้วยกัน ฝรั่งหมดเลย มีหน้าเอเชียน้อยมากๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ เราก็ไปสอบถามเรื่องทัวร์กับทางโฮสเทล ก็ตัดสินใจจองไปรอบบ่าย และรีบไปปลุกเพื่อนๆและแยกย้ายกันอาบน้ำ โดยที่เรากับหลีมนุษย์ผู้พกมาเพียง แปรงสีฟันแท่งเดียว ต้องพยายามไปขโมยอุปกรณ์อาบน้ำของเพื่อนมาใช้ และเราต้องอาบน้ำแบบห้ามพรากจากกัน เพราะต้องแบ่งของกันใช้(แอบไปใช้ห้องน้ำโซนอื่นที่มีประตูให้สบายใจและแขวนของซักหน่อย) ก็ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวกันแบบยาวนาน แต่งเต็ม เล่นใหญ่กันมาก กะว่าไปเดินสวยๆที่ทะเลทรายแน่นอน พอใกล้ได้เวลาก็ออกไปสั่งมื้อกลางวันมาทานกันต่อค่ะ มื้อเช้าย่อยสลายมลายสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว
พอได้เวลาอันสมควรรถจี๊ปก็มารอรับเราไปเที่ยวตามทัวร์ที่จองไว้ พี่เป็ด ปุ้ม ชัย หลี ก็พาตัวเองไปนั่งด้านหลังนั่งแบบสองแถวสไตล์เพราะที่มันแคบพอสมควรเลย ต้านั่งด้านหน้าข้างคนขับ และมีฝรั่งสองคนคู่รักมาร่วมทริปด้วยนั่งอยู่ฝั่งด้านหลังคนขับเราก็เลยขึ้นไปนั่งด้วย ก็พอดีๆ นั่งสบายเลย แต่เหมือนรถจี๊ปคันหน้าจะแน่นเกินไป เลยต้องแบ่งคนมาทางคันเราหนึ่งคน... จากที่นั่งสบายๆ คือฝรั่งก็ไม่ได้ตัวเล็ก อันตัวกระผมก็ไม่ได้ตัวเล็กเช่นกัน สามคนนี่คือนั่งพอดีเลย พอมีคนที่สี่เพิ่มมาเป็นฝรั่งอีกจ้า โอโหวววว นั่งหนีบขาบี้กันจะแบน อีกนิดจะขี่กันละ มนุษย์ยักษ์นั่งอัดกันสี่คน แถมสาวฝรั่งที่มาใหม่ต้องนั่งแยกกับเพื่อนที่อยู่อีกคันด้วย
สถานที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ White Sand Dune ระหว่างทางก็ได้ฟีลแบบประหลาดๆอยู่เหมือนกันนะ มองไปทางขวาเห็นทะเล แม้ว่าจะเป็นทะเลน้ำดำก็เถอะ ตักมากินก็น่าจะบรรเทาอาการไอได้อยู่ มองไปทางซ้ายเจอแต่ภูมิประเทศที่เป็นทราย มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ดูแห้งแล้งสมกับที่มันจะมีทะเลทราย แถมตลอดการเดินทางทรายก็ปลิวว่อนไปตามอากาศจนต้องหยิบแว่นขึ้นมาใส่ นอกจากจะกันแดดแล้วก็กันทรายปลิวเข้าตานี่แหละ ตลอดทางก็กินลมชมวิวแบบเบียดๆไป แอบมองน้องฝรั่งหน้าตาจุ้มจิ้มที่นั่งรถจี๊ปคันหน้าไปด้วย ก็มีอาหารตาอาหารใจให้ได้ชุ่มชื้นมั่ง
รถจี๊ปพาพวกเรามาถึงที่ White Sand Dune ก็มีเสียค่าเข้าราคาเบาๆ แต่ฝรั่งสาวที่โดนแยกมากจากเพื่อนดันเงินไม่พอ ก็เลยพูดข้ามหัวเราไปขอยืมเงินคู่รักชู้ชื่นที่นั่งอีกฝั่งนึง แต่ฝั่งทีมเรา 6 คน รวมเงินไว้ที่ต้าหมดแล้ว จ่ายเงินแบบรวดเร็วทันใจ แต่ขณะที่กำลังขอยืมเงินกัน ทางอุทยานก็ไล่ให้ขับเข้าไปข้างในได้ ทุกคนก็งงๆ คนขับก็งงๆ เจ้าหน้าที่เก็บเงินก็งงๆ ก็ขับเข้าไปแบบงงๆนั่นแหละ แม่สาวฝรั่งก็ โอเค ไม่จ่ายก็ไม่จ่ายจ้า ทัวร์ที่เราไปเนี่ยรถจี๊ปคันหน้ากับคันเราจะไปพร้อมกัน ออกพร้อมกันตลอด ก็เลยจอดรถใกล้ๆกัน มองไปด้านหน้าก็เห็นทะเลทรายอันงดงามที่ไม่รู้ว่ามันสิ้นสุดที่ตรงไหน มีคนพยายามเข้ามาเสนอให้ขับรถเข้าไป แต่ด้วยความโคตรงกโคตรๆก็เลยเลือกที่จะเดินเข้าไป แหมมม ขับอิรถนี่เข้าไปอย่างแพง เก็บเงินไว้กินเถอะค่ะ ตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน เพราะใส่รองเท้าแล้วเดินยากมาก รู้สึกเหมือนจะโดนทรายดูดตลอดเวลา หรือนี่บาปเกินไปธรณีจะสูบเอา ลมที่พัดมาโดนตัวเราเป็นลมร้อน แรง แถมยังพัดมาอย่างกับพายุทราย อ้าปากทรายเข้าปาก ไม่ใส่แว่น ทรายก็เข้าตา แถมลมพัดแต่ละทีเหมือนโดนแส้ฟาดที่ขา ทรายพัดมาตีขาได้แสบมากๆ ลมพัดทีก็ซี้ดที เดินกันไปได้ซักพักก็หามุมถ่ายรูปกันซะหน่อย เรามาเพื่อถ่ายรูปค่ะ แต่แน่นอนว่าการถ่ายรูปในบรรยากาศลมแรงโคตร แดดร้อนสาส ทรมานทั้งคนถ่ายและคนถูกถ่าย เน้นกดรัวๆ เข้าใจว่ากดมาร้อยมาต้องสวยซักรูป สรุปคือผิดหมด ต้องกดมาซักพันอ่ะ ถึงจะสวยซักรูปนึง เซ็ทท่ากำลังสวยละ เจอลมพัดมาแรงมาก ที่กูเซ็ทร่างไว้พังไปหมด ผมตีหน้า ฟาดหน้า บังหน้า ถ่ายมามีแต่รูปฮาๆ ทำไมคนอื่นมาเขาถ่ายกันซะสวยสดงดงาม นี่กดไปเป็นพันกว่าจะหลงสวยๆมาซักรูปนึง จากที่คิดว่าถ่ายรูปที่ทะเลทรายเราต้องสวยปังกันแน่ๆ แต่ใครจะรู้หล่ะว่าปังที่ว่าอ่ะ มันคือ ปัง ปิ นาศ !!
ทางทัวร์ปล่อยเราไว้ที่ทะเลทราย 30 นาที แล้วก็นัดเจอกันตรงที่จอดรถจี๊ป ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนเมื่อจะเดินไปที่รถแล้วพบว่า... จำไม่ได้ว่ารถมันจอดไว้ตรงไหน หน้าตาเส้นทางมันคล้ายกันไปหมดเลย พยายามเดินไปทางที่คิดว่าใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ ยืนงงกันซักพัก หันไปเห็นหนุ่มน้อยฝรั่งที่มากับรถจี๊ปอีกคัน ก็เลยเดินไปถามว่า รถจอดตรงไหน หนุ่มน้อยและเพื่อนสาวของเขาก็ชี้ไปทางด้านที่เราเดินไปดูมาแล้วว่ามันไม่ใช่ !! แต่หน้าตามันคล้ายกันมาก หนุ่มน้อยเห็นพวกเราทำหน้างงๆ เรียกว่าทำหน้าไม่เชื่อดีกว่า ก็เลยพาเดินไปดู สรุปหนุ่มน้อยและสาวสวยก็งงเหมือนกันจ้า... โอเค แปลว่าสกิลการจำทางของมึงไม่ได้ดีกว่ากูเลย แต่หลังจากนั้นสาวน้อยก็ยิ้มมาให้เราตลอด น่ารัก attack ใจมากๆ ในเมื่อสองหนุ่มสาวช่วยเราไม่ได้ ก็ต้องมั่วทางเดินกันไปเองแล้วหล่ะ ก็เลยเดินอ้อมข้างหลัง เดินไปที่ถนนท่ามกลางแดดอันร้อนผ่าว เส้นทางที่นึกว่าเดินขึ้นเขา เพื่อจะอ้อมไปอีกด้านนึง บริเวณถนนก็เต็มไปด้วยก้อนหิน ไอ้ที่ถอดรองเท้าเดินกันตอนแรกก็ไม่ไหวแล้ว ใส่รองเท้าเดินเถอะ แต่หลีนั้นพกรองเท้าท่ายากมา กว่าจะถอดกว่าจะใส่ ต้องพันผ้าผูกโบว์สารพัดท่า ตอนแรกหลีก็ไม่ยอมใส่รองเท้าดีๆ แล้วคือทางมันเจ็บเท้ามากๆ ก็เลยบอกให้มันแวะใส่รองเท้าดีๆเถอะ ขณะใส่รองเท้านางก็บ่นไปเรื่อยๆ "ไอ้รองเท้า*** กูไม่น่าซื้อมาเลย *** *** ***" (* = คำหยาบคายเกินจะพิมพ์ได้ ขอเซ็นเซอร์ไว้ก่อน) จนในที่สุดก็เดินหารถตัวเองเจอ แต่อากาศร้อนมากจนต้องขอซื้อน้ำอัดลมมากินกันคนละขวดด้วยความกระหาย
รวมพลกันจนครบก็ได้เวลาเดินทางไปที่ Fisherman Village ก่อนขึ้นไปบนรถ เราตัดสินใจสลับที่กับหลี เอาคนตัวยักษ์หลบไปซักคนนึงเถอะ มันแน่นเกินจะต้านทานได้จริงๆ ขับไปได้ไม่นานนักลุงคนขับก็ปล่อยเราไว้ประมาณ 30 นาทีที่หมู่บ้านชาวประมงเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏในสายตาเราก็คือทะเลที่สะท้อนกับแสงแดด ประกายวิบวับจนแสบตา และเรือประมงปริมาณมหาศาลที่ลอยอยู่ตามทะเล นี่คือพร็อพที่จัดไว้โชว์หรือเปล่าคะ ทำไมถึงได้มีปริมาณมากมายขนาดนั้น นอกจากเรืประมงที่น่าสนใจแล้ว ก็มีเรืออ่าง เรือที่หน้าตาเหมือนกะละมังนี่แหละ กลมๆ ก้นลึก มีคนอยู่ด้านในคอยพายไปมา ก็ได้แต่สงสัยนะว่า เขาพายกันยังไง มันจะไม่หมุนเป็นวงกลมหรอ แต่ก็เท่ห์ดีแฮะ ได้มาเห็นวัฒนธรรมประหลาดๆแบบนี้ (จริงๆหลีมันก็สงสัยมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วหล่ะ หาดตรงโฮสเทลมีเรือกะละมังลองตุ๊บป่องอยู่ 1 ลำ) ถามว่าจะได้ความรู้เรื่องเรือจากพวกเราไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ ไม่มีอารมณ์จะไปหาข้อมูล หรือถามใครทั้งนั้นแหละ ร้อนมาก มีขายสรรพสัตว์แห่งท้องทะเลอยู่ด้านล่างติดกับหาด ที่เราต้องเดินลงบันไดไปเลือกซื้อ แต่อากาศร้อน และแดดแรงเกินกว่าจะทำอะไรได้ลง เพราะเหนื่อยกับทะเลทรายขาวมากๆ ก็ได้แต่แชะรูปติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง เราออกไปถ่ายรูปกันได้ซักพัก ก็เข้ามารอที่รถ เพราะแดดร้อนเกินกว่าจะไปยืนสู้ได้นานๆ ก่อนจะขึ้นรถไปที่ต่อไป หลีก็ได้เอ่ยปากถามว่า "มึงนั่งไปได้ยังไง โคตรเบียด" มึงนั่งยังเบียดเลยหลี แล้วคิดสภาพกูสิเพื่อนนนน
สถานที่ต่อไปที่เราจะแวะกันก็คือ Fairy Stream บอกเลยว่าได้ยินชื่อสถานที่ เราจินตนาการหน้าตามันไม่ออกเลยจริงๆนะ ว่ามันคืออะไร พอไปถึงเราต้องเดินลุยน้ำเข้าไป หน้าตาเหมือนลำธารที่มีทรายสีแดงผสมอยู่ หมือนเดินลุยน้ำท่วมตามต่างจังหวัดนั่นแหละ สีน้ำไม่น่าเอาตีนไปโดนอ่ะจริงๆ เหล่าสาวๆผู้แต่งตัวกรุยกรายก็ต้องรวบความยาวด้านล่างกันขึ้นมา ก่อนลงไปด้านล่างก็มีให้ฝากรองเท้า ซึ่งเสียเงิน... ก็งงๆว่าทำไมต้องเสียเงิน ฝากรองเท้า? เฝ้ารองเท้า? แต่เพื่อความสะดวก พวกเราก็ถอดรองเท้า ยอมจ่ายเงินนิดหน่อยไป ขี้เกียจจะอะไรเยอะ เดินลุยน้ำสีแดงๆแบบนี้ไม่ง่ายเลย บางมุมเดินแล้วเหมือนตกเหว บางมุมก้มีหินที่ค่อนข้างลื่น หรือบางบริเวณที่น้ำค่อนข้างไหลแรง เดินเข้าไปเรื่อยๆก็เริ่มเจอทัศนียภาพที่น่าสนใจ นี่มันคือภูเขาทรายชัดๆ หน้าตาเป็นภูเขา แต่ปกคลุมไปด้วยทราย และทุกครั้งที่ลมพัด ทรายจากภูเขานั้นก็ลอยละล่องมาฟาดหน้าพวกเรา นี่มันสาหัสกว่าทะเลทรายขาวอีกนะเนี่ย เรียกได้ว่าพอลมพัดมาที เหมือนฝนตกเป็นทรายหน่ะ ยิ่งกว่าอาบทราย รูอะไรที่ทรายมันจะเข้าได้ เข้าหมด หู ตา จมูก ปาก ครบเลยค่ะ พอเดินเข้าไปนานพอสมควร ก็ตัดสินใจเดินออกมากันเพราะว่าเราใช้เวลานานพอสมควรแล้ว กลัวว่าคนอื่นจะต้องมารอเรา พอกลับไปที่รถก็ได้นั่งพักกันซักนิด ก่อนจะไปที่ทะเลทรายแดงให้ทันพระอาทิตย์ตก..
พอได้เวลาอันสมควรรถจี๊ปก็มารอรับเราไปเที่ยวตามทัวร์ที่จองไว้ พี่เป็ด ปุ้ม ชัย หลี ก็พาตัวเองไปนั่งด้านหลังนั่งแบบสองแถวสไตล์เพราะที่มันแคบพอสมควรเลย ต้านั่งด้านหน้าข้างคนขับ และมีฝรั่งสองคนคู่รักมาร่วมทริปด้วยนั่งอยู่ฝั่งด้านหลังคนขับเราก็เลยขึ้นไปนั่งด้วย ก็พอดีๆ นั่งสบายเลย แต่เหมือนรถจี๊ปคันหน้าจะแน่นเกินไป เลยต้องแบ่งคนมาทางคันเราหนึ่งคน... จากที่นั่งสบายๆ คือฝรั่งก็ไม่ได้ตัวเล็ก อันตัวกระผมก็ไม่ได้ตัวเล็กเช่นกัน สามคนนี่คือนั่งพอดีเลย พอมีคนที่สี่เพิ่มมาเป็นฝรั่งอีกจ้า โอโหวววว นั่งหนีบขาบี้กันจะแบน อีกนิดจะขี่กันละ มนุษย์ยักษ์นั่งอัดกันสี่คน แถมสาวฝรั่งที่มาใหม่ต้องนั่งแยกกับเพื่อนที่อยู่อีกคันด้วย
สถานที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ White Sand Dune ระหว่างทางก็ได้ฟีลแบบประหลาดๆอยู่เหมือนกันนะ มองไปทางขวาเห็นทะเล แม้ว่าจะเป็นทะเลน้ำดำก็เถอะ ตักมากินก็น่าจะบรรเทาอาการไอได้อยู่ มองไปทางซ้ายเจอแต่ภูมิประเทศที่เป็นทราย มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ดูแห้งแล้งสมกับที่มันจะมีทะเลทราย แถมตลอดการเดินทางทรายก็ปลิวว่อนไปตามอากาศจนต้องหยิบแว่นขึ้นมาใส่ นอกจากจะกันแดดแล้วก็กันทรายปลิวเข้าตานี่แหละ ตลอดทางก็กินลมชมวิวแบบเบียดๆไป แอบมองน้องฝรั่งหน้าตาจุ้มจิ้มที่นั่งรถจี๊ปคันหน้าไปด้วย ก็มีอาหารตาอาหารใจให้ได้ชุ่มชื้นมั่ง
รถจี๊ปพาพวกเรามาถึงที่ White Sand Dune ก็มีเสียค่าเข้าราคาเบาๆ แต่ฝรั่งสาวที่โดนแยกมากจากเพื่อนดันเงินไม่พอ ก็เลยพูดข้ามหัวเราไปขอยืมเงินคู่รักชู้ชื่นที่นั่งอีกฝั่งนึง แต่ฝั่งทีมเรา 6 คน รวมเงินไว้ที่ต้าหมดแล้ว จ่ายเงินแบบรวดเร็วทันใจ แต่ขณะที่กำลังขอยืมเงินกัน ทางอุทยานก็ไล่ให้ขับเข้าไปข้างในได้ ทุกคนก็งงๆ คนขับก็งงๆ เจ้าหน้าที่เก็บเงินก็งงๆ ก็ขับเข้าไปแบบงงๆนั่นแหละ แม่สาวฝรั่งก็ โอเค ไม่จ่ายก็ไม่จ่ายจ้า ทัวร์ที่เราไปเนี่ยรถจี๊ปคันหน้ากับคันเราจะไปพร้อมกัน ออกพร้อมกันตลอด ก็เลยจอดรถใกล้ๆกัน มองไปด้านหน้าก็เห็นทะเลทรายอันงดงามที่ไม่รู้ว่ามันสิ้นสุดที่ตรงไหน มีคนพยายามเข้ามาเสนอให้ขับรถเข้าไป แต่ด้วยความโคตรงกโคตรๆก็เลยเลือกที่จะเดินเข้าไป แหมมม ขับอิรถนี่เข้าไปอย่างแพง เก็บเงินไว้กินเถอะค่ะ ตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน เพราะใส่รองเท้าแล้วเดินยากมาก รู้สึกเหมือนจะโดนทรายดูดตลอดเวลา หรือนี่บาปเกินไปธรณีจะสูบเอา ลมที่พัดมาโดนตัวเราเป็นลมร้อน แรง แถมยังพัดมาอย่างกับพายุทราย อ้าปากทรายเข้าปาก ไม่ใส่แว่น ทรายก็เข้าตา แถมลมพัดแต่ละทีเหมือนโดนแส้ฟาดที่ขา ทรายพัดมาตีขาได้แสบมากๆ ลมพัดทีก็ซี้ดที เดินกันไปได้ซักพักก็หามุมถ่ายรูปกันซะหน่อย เรามาเพื่อถ่ายรูปค่ะ แต่แน่นอนว่าการถ่ายรูปในบรรยากาศลมแรงโคตร แดดร้อนสาส ทรมานทั้งคนถ่ายและคนถูกถ่าย เน้นกดรัวๆ เข้าใจว่ากดมาร้อยมาต้องสวยซักรูป สรุปคือผิดหมด ต้องกดมาซักพันอ่ะ ถึงจะสวยซักรูปนึง เซ็ทท่ากำลังสวยละ เจอลมพัดมาแรงมาก ที่กูเซ็ทร่างไว้พังไปหมด ผมตีหน้า ฟาดหน้า บังหน้า ถ่ายมามีแต่รูปฮาๆ ทำไมคนอื่นมาเขาถ่ายกันซะสวยสดงดงาม นี่กดไปเป็นพันกว่าจะหลงสวยๆมาซักรูปนึง จากที่คิดว่าถ่ายรูปที่ทะเลทรายเราต้องสวยปังกันแน่ๆ แต่ใครจะรู้หล่ะว่าปังที่ว่าอ่ะ มันคือ ปัง ปิ นาศ !!
ทางทัวร์ปล่อยเราไว้ที่ทะเลทราย 30 นาที แล้วก็นัดเจอกันตรงที่จอดรถจี๊ป ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนเมื่อจะเดินไปที่รถแล้วพบว่า... จำไม่ได้ว่ารถมันจอดไว้ตรงไหน หน้าตาเส้นทางมันคล้ายกันไปหมดเลย พยายามเดินไปทางที่คิดว่าใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ ยืนงงกันซักพัก หันไปเห็นหนุ่มน้อยฝรั่งที่มากับรถจี๊ปอีกคัน ก็เลยเดินไปถามว่า รถจอดตรงไหน หนุ่มน้อยและเพื่อนสาวของเขาก็ชี้ไปทางด้านที่เราเดินไปดูมาแล้วว่ามันไม่ใช่ !! แต่หน้าตามันคล้ายกันมาก หนุ่มน้อยเห็นพวกเราทำหน้างงๆ เรียกว่าทำหน้าไม่เชื่อดีกว่า ก็เลยพาเดินไปดู สรุปหนุ่มน้อยและสาวสวยก็งงเหมือนกันจ้า... โอเค แปลว่าสกิลการจำทางของมึงไม่ได้ดีกว่ากูเลย แต่หลังจากนั้นสาวน้อยก็ยิ้มมาให้เราตลอด น่ารัก attack ใจมากๆ ในเมื่อสองหนุ่มสาวช่วยเราไม่ได้ ก็ต้องมั่วทางเดินกันไปเองแล้วหล่ะ ก็เลยเดินอ้อมข้างหลัง เดินไปที่ถนนท่ามกลางแดดอันร้อนผ่าว เส้นทางที่นึกว่าเดินขึ้นเขา เพื่อจะอ้อมไปอีกด้านนึง บริเวณถนนก็เต็มไปด้วยก้อนหิน ไอ้ที่ถอดรองเท้าเดินกันตอนแรกก็ไม่ไหวแล้ว ใส่รองเท้าเดินเถอะ แต่หลีนั้นพกรองเท้าท่ายากมา กว่าจะถอดกว่าจะใส่ ต้องพันผ้าผูกโบว์สารพัดท่า ตอนแรกหลีก็ไม่ยอมใส่รองเท้าดีๆ แล้วคือทางมันเจ็บเท้ามากๆ ก็เลยบอกให้มันแวะใส่รองเท้าดีๆเถอะ ขณะใส่รองเท้านางก็บ่นไปเรื่อยๆ "ไอ้รองเท้า*** กูไม่น่าซื้อมาเลย *** *** ***" (* = คำหยาบคายเกินจะพิมพ์ได้ ขอเซ็นเซอร์ไว้ก่อน) จนในที่สุดก็เดินหารถตัวเองเจอ แต่อากาศร้อนมากจนต้องขอซื้อน้ำอัดลมมากินกันคนละขวดด้วยความกระหาย
รวมพลกันจนครบก็ได้เวลาเดินทางไปที่ Fisherman Village ก่อนขึ้นไปบนรถ เราตัดสินใจสลับที่กับหลี เอาคนตัวยักษ์หลบไปซักคนนึงเถอะ มันแน่นเกินจะต้านทานได้จริงๆ ขับไปได้ไม่นานนักลุงคนขับก็ปล่อยเราไว้ประมาณ 30 นาทีที่หมู่บ้านชาวประมงเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏในสายตาเราก็คือทะเลที่สะท้อนกับแสงแดด ประกายวิบวับจนแสบตา และเรือประมงปริมาณมหาศาลที่ลอยอยู่ตามทะเล นี่คือพร็อพที่จัดไว้โชว์หรือเปล่าคะ ทำไมถึงได้มีปริมาณมากมายขนาดนั้น นอกจากเรืประมงที่น่าสนใจแล้ว ก็มีเรืออ่าง เรือที่หน้าตาเหมือนกะละมังนี่แหละ กลมๆ ก้นลึก มีคนอยู่ด้านในคอยพายไปมา ก็ได้แต่สงสัยนะว่า เขาพายกันยังไง มันจะไม่หมุนเป็นวงกลมหรอ แต่ก็เท่ห์ดีแฮะ ได้มาเห็นวัฒนธรรมประหลาดๆแบบนี้ (จริงๆหลีมันก็สงสัยมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วหล่ะ หาดตรงโฮสเทลมีเรือกะละมังลองตุ๊บป่องอยู่ 1 ลำ) ถามว่าจะได้ความรู้เรื่องเรือจากพวกเราไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ ไม่มีอารมณ์จะไปหาข้อมูล หรือถามใครทั้งนั้นแหละ ร้อนมาก มีขายสรรพสัตว์แห่งท้องทะเลอยู่ด้านล่างติดกับหาด ที่เราต้องเดินลงบันไดไปเลือกซื้อ แต่อากาศร้อน และแดดแรงเกินกว่าจะทำอะไรได้ลง เพราะเหนื่อยกับทะเลทรายขาวมากๆ ก็ได้แต่แชะรูปติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง เราออกไปถ่ายรูปกันได้ซักพัก ก็เข้ามารอที่รถ เพราะแดดร้อนเกินกว่าจะไปยืนสู้ได้นานๆ ก่อนจะขึ้นรถไปที่ต่อไป หลีก็ได้เอ่ยปากถามว่า "มึงนั่งไปได้ยังไง โคตรเบียด" มึงนั่งยังเบียดเลยหลี แล้วคิดสภาพกูสิเพื่อนนนน
สถานที่ต่อไปที่เราจะแวะกันก็คือ Fairy Stream บอกเลยว่าได้ยินชื่อสถานที่ เราจินตนาการหน้าตามันไม่ออกเลยจริงๆนะ ว่ามันคืออะไร พอไปถึงเราต้องเดินลุยน้ำเข้าไป หน้าตาเหมือนลำธารที่มีทรายสีแดงผสมอยู่ หมือนเดินลุยน้ำท่วมตามต่างจังหวัดนั่นแหละ สีน้ำไม่น่าเอาตีนไปโดนอ่ะจริงๆ เหล่าสาวๆผู้แต่งตัวกรุยกรายก็ต้องรวบความยาวด้านล่างกันขึ้นมา ก่อนลงไปด้านล่างก็มีให้ฝากรองเท้า ซึ่งเสียเงิน... ก็งงๆว่าทำไมต้องเสียเงิน ฝากรองเท้า? เฝ้ารองเท้า? แต่เพื่อความสะดวก พวกเราก็ถอดรองเท้า ยอมจ่ายเงินนิดหน่อยไป ขี้เกียจจะอะไรเยอะ เดินลุยน้ำสีแดงๆแบบนี้ไม่ง่ายเลย บางมุมเดินแล้วเหมือนตกเหว บางมุมก้มีหินที่ค่อนข้างลื่น หรือบางบริเวณที่น้ำค่อนข้างไหลแรง เดินเข้าไปเรื่อยๆก็เริ่มเจอทัศนียภาพที่น่าสนใจ นี่มันคือภูเขาทรายชัดๆ หน้าตาเป็นภูเขา แต่ปกคลุมไปด้วยทราย และทุกครั้งที่ลมพัด ทรายจากภูเขานั้นก็ลอยละล่องมาฟาดหน้าพวกเรา นี่มันสาหัสกว่าทะเลทรายขาวอีกนะเนี่ย เรียกได้ว่าพอลมพัดมาที เหมือนฝนตกเป็นทรายหน่ะ ยิ่งกว่าอาบทราย รูอะไรที่ทรายมันจะเข้าได้ เข้าหมด หู ตา จมูก ปาก ครบเลยค่ะ พอเดินเข้าไปนานพอสมควร ก็ตัดสินใจเดินออกมากันเพราะว่าเราใช้เวลานานพอสมควรแล้ว กลัวว่าคนอื่นจะต้องมารอเรา พอกลับไปที่รถก็ได้นั่งพักกันซักนิด ก่อนจะไปที่ทะเลทรายแดงให้ทันพระอาทิตย์ตก..
ทะเลทรายแดงหรือ Red Sand Dune ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ต่างจาก White Sand Dune โดยสิ้นเชิง ตั้งอยู่ริมถนนเลย รถจี๊ปของพวกเราจอดบริเวณร้านขายของชำฝั่งตรงข้าม Red Sand Dune สายเมาอย่างเราก็อดไม่ได้ที่จะขอซื้อเบียร์ไซง่อนไปจิบระหว่างดูพระอาทิตย์ตกบ้าง จินตนาการถึงบรรยากาศพระอาทิตย์ตก เรานั่งจิบเบียร์ชิวๆ พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า แต่... ผิดจากที่คิดไปทั้งหมด นี่เราต้องมาผจญกับพายุทะเลทรายกันอีกรอบ ยิ่งเดินขึ้นไปสูง ยิ่งสวย แต่แน่นอนว่าลมก็แรงมากๆ แรงจนแสบไปทั้งขา ตลอดเวลาก็จะมีแก๊งชาวทะเลทรายมาให้เล่นสกีไปอีก แต่ดูทรงแล้ว ถ้าเล่นนี่เละเทะ ไม่เหลืออะไรแน่นอน แค่ยืนเฉยๆตัวก็จะปลิวอยู่ละ เดินไปมือนึงจับกระโปรง หิ้วรองเท้า(เสือกอยากจะมากรุยกรายกันวันนี้ เป็นไงหล่ะมึง กระโปรงจะเปิดมาคลุมหัวเอา) อีกมือก็ถือเบียร์ ถือแบบเอามือปิดปากขวดไว้ แค่นี้ก็กินทรายไปเต็มท้องละ พยายามเดินไปที่เนินทรายกะว่าจะนั่งดูพระอาทิตย์ชิวๆ แต่พอพ้นเนินทรายเนินแรก อิห่า!! ข้างหน้ามีอีกเนินนึง โอเคกูยอมแล้ว ดูพระอาทิตย์ตกตรงนี้ก็ได้ แต่มันน่ากลัวมากถ้าจะนั่งลงบนเนินทราย เพราะเราสามารถไถลลงจากทรายโดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อตัวสกีนั่นเลย แต่อาจจะแลกมากับการอวัยวะหลุดได้ อย่าเสี่ยงดีกว่า แต่ด้วยฝูงชนที่แน่นหน้าบริเวณเนินทรายด้านหน้า บังพระอาทิตย์กูจังเลย ก็ตัดสินใจเดินลงมาถ่ายรูปเล่นกันดีกว่า อยู่บนนั้นทั้งชัน ทั้งแสบขา ทั้งลมโคตรจะแรง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ลับตาเราไปแล้ว แต่มันยังไม่ลับขอบฟ้าหรอกนะ ก็เดินลงข้ามถนนไปนั่งรอรถจี๊ปพาไปส่งที่พักดีกว่า นั่งรอฝรั่งที่มาคันเดียวกันนานมาก จนต้องซื้อไอติมมากินกันคนละแท่ง จนรถจี๊ปคันที่มาพร้อมเราออกไปก่อน จนกระทั่งพวกนางเดินมาก็โดนคนขับรถบ่นไปตามระเบียบ เพราะมันเลยเวลานัดมานานมากแล้ว กว่าเราจะได้เข้าที่พักก็ฟ้ามืดกันซะแล้ว
เขาว่ากันว่า มามุยเน่ มีหมู่บ้านชาวประมง มีทะเล ก็ต้องมากินอาหารทะเล.... แต่ แต่ แต่!! ที่พักของเราอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ไม่มีตลาด ไม่มีผับ ไม่มีแสงสี ไม่มีห่าอะไรเลย ด้านซ้ายก็รีสอร์ท ด้านขวาก็รีสอร์ท ด้านหน้าก็ป่า ด้านหลังก็ทะเล เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดื่ม ต้องกินกันในโฮสเทลโดยไร้ทางเลือกนั่นแหละ แดกเงินกูทุกมื้อเลยนะมึง พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เพื่อที่จะได้มากินข้าวกัน ซึ่งไม่ต้องแย่งห้องน้ำกับชาวบ้านเลย เพราะเรากลับมาช้าสุดละ ห้องน้ำโล่งว่างสบาย สิ่งที่ห้ามลืมคือเราต้องไปจองรถเพื่อเดินทางไปดาลัดในวันพรุ่งนี้่ มีให้เลือกสองเที่ยวคือเที่ยวเช้า กับเที่ยวบ่าย แน่นอนว่ารู้สันดานเพื่อนเป็นอย่างดี รอบบ่ายเถอะ จะได้ไม่วิ่งกันหูตาแหก ตกรถไปอีก หลังจากจองรถเรียบร้อยเราก็สังเกตเห็นว่า มีดนตรีสดมาเล่นที่โฮสเทลเราด้วยหว่ะ โคตรคูลเลย เล่นเพลงสากลรัวๆ (แน่หล่ะ ฝรั่งยกโฮสเทลขนาดนี้ มาร้องเพลงเวียดนามก็ผิดผีไปหน่อยป่ะวะ) เราก็พยายามจะหาที่นั่งกินข้าว แต่ที่นั่งเต็มหมดละ เหลือแค่โซนด้านหน้านักร้อง นี่กูจะวีไอพีไปละ แต่ไม่มีทางเลือก ก็ต้องไปนั่งกินตรงนั้นแหละ เราก็สั่งกับข้าวกันอย่างกับมีโต๊ะจีน สั่งด้วยความหิวโหย หน้ามืดตามัว ถามว่ากินหมดไหม หมดดิครับ!! ระหว่างที่เรากินข้าว ชาวฝรั่งก็เริ่มเมาได้ที่ โอเค กูสตาร์ทช้าเองแหละ นักร้องเริ่มลากคนดูมาร้องเพลง เต้นกัน ระยำตำบอนอะไรก็ทำอ่ะแล้วแต่นักร้องมันจะเล่น ระหว่างนั้นก็แอบเห็นหนุ่มสาวที่เราไปถามทางตรงทะเลทรายขาวกินข้าวอยู่ตรงบาร์ สาวน้อยก็หันมายิ้มให้เราอย่างเฟรนลี่ เราก็ยิ้มตอบไป หน้าตากูนี่เฟรนลี่ทุกชาติ ทุกวัย ทุกเผ่าพันธุ์จริงๆสินะ
พอพวกเราอิ่มแล้ว ก็รู้สึกว่าได้เวลาหาแอลกอฮอล์มากระแทกปากละ ที่โฮสเทลก็มีช่วง Happy Hour ลดราคาเครื่องดื่ม ก็ต้องจัดซักหน่อยไหมหล่ะ บรรยากาศได้ขนาดนี้ พวกฝรั่งก็เริ่มจับกลุ่ม รวมตัวกันเล่นอะไรไม่รู้ ไอ้พวกเราก็พยายามหาที่เล่นเหมือนกัน พกบอร์ดเกมส์มาทั้งทีก็ต้องมาเล่นกันหน่อยไหมหล่ะ จนในที่สุดเราก็หาโต๊ะว่างๆไปนั่งเล่นหลบมุมกันอยู่แก๊งเดียว คือนอกจากหน้าตาแปลกแยกแล้ว ยังจะทำตัวแปลกแยกไปอีก ขณะที่นั่งเล่นเกมส์กันอยู่ ต้องอธิบายก่อนว่า บอร์ดเกมส์เกมส์นี้อนุญาตให้โกงได้ กฏคือใครไพ่หมดก่อนชนะ และสามารถแอบทิ้งไพ่โดยที่ Guard(รับบทด้วยซักคนในเกมส์) ต้องจับไม่ได้ ขณะที่แอบทิ้งไพ่กันอย่างเมามันส์ ก็มีฝรั่งคนนึง(ที่ดูก็รู้ว่า มึงเมาละหล่ะ) เข้ามาถามว่า
"เล่นอะไรกันหรอ"
"เล่นบอร์ดเกมส์กัน"
"เล่นยังไงอ่ะ"
"ก็แบบใครไพ่หมดก่อนชนะ แล้วก็โกงได้แต่ห้ามให้ Guard รู้" หลังจากต้าอธิบายกฏการเล่นไปแบบคร่าวๆแล้ว ฝรั่งคนนั้นก็ได้หันหน้าไปทางชัย ยกมือขึ้นมาชี้หน้าชัย และพูดว่า
"You're such a bullshit!!! มึงมันตอแหล มึงแอบทิ้งไพ่!!" ตอนนั้นทุกคนก็อึ้งแล้วก็ขำออกมาอย่างลั่น พอมันด่าเสร็จมันก็เดินไปค่ะ มึงมาเพื่อด่าแค่นั้นหรอวะ??
"ก็จังหวะกูทิ้งไพ่ กูเผลอไปสบตามันพอดีเลย" ชัยก็แถลงไขข้อข้องใจว่า กูก็นึกว่ามึงไปแอบแอ๊วมา
พวกเราก็เล่นบอร์ดเกมส์ไปกินเบียร์ไป จนรู้สึกว่า เราควรนอนได้แล้ว เพราะวันนี้ใช้พลังงานกันเยอะมาก เมื่อคืนก็นอนเอาตีสี่ และเราก็ดันตื่นโคตรเช้าไปอีก วันนี้จะนอนเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างฝรั่งแถวนี้ก็ร่วงกันไปหลายคน บางคนนี่ร่วงลงไปนอนคุยกับหมา ย้ำ!! มันลงไปนอนคุยกับหมา กอดหมา จูบหมา แล้วก็ทิ้งตัวนอนตรงลานที่โฮสเทลจัดไว้ให้ อาการหนักมากจริงๆ กูยอมใจมึงเลย และเราก็ร่ำลาค่ำคืนนี้ด้วยไอ้หล่อคุยกับหมานะฮะ เจอกันวันพรุ่งนี้กับตอนเช้าที่แสนสดใส โดยที่หลีกับต้ามันนัดกันไปวิ่ง... ไปเลยมึงไม่ต้องปลุกกู!!
เขาว่ากันว่า มามุยเน่ มีหมู่บ้านชาวประมง มีทะเล ก็ต้องมากินอาหารทะเล.... แต่ แต่ แต่!! ที่พักของเราอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ไม่มีตลาด ไม่มีผับ ไม่มีแสงสี ไม่มีห่าอะไรเลย ด้านซ้ายก็รีสอร์ท ด้านขวาก็รีสอร์ท ด้านหน้าก็ป่า ด้านหลังก็ทะเล เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดื่ม ต้องกินกันในโฮสเทลโดยไร้ทางเลือกนั่นแหละ แดกเงินกูทุกมื้อเลยนะมึง พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เพื่อที่จะได้มากินข้าวกัน ซึ่งไม่ต้องแย่งห้องน้ำกับชาวบ้านเลย เพราะเรากลับมาช้าสุดละ ห้องน้ำโล่งว่างสบาย สิ่งที่ห้ามลืมคือเราต้องไปจองรถเพื่อเดินทางไปดาลัดในวันพรุ่งนี้่ มีให้เลือกสองเที่ยวคือเที่ยวเช้า กับเที่ยวบ่าย แน่นอนว่ารู้สันดานเพื่อนเป็นอย่างดี รอบบ่ายเถอะ จะได้ไม่วิ่งกันหูตาแหก ตกรถไปอีก หลังจากจองรถเรียบร้อยเราก็สังเกตเห็นว่า มีดนตรีสดมาเล่นที่โฮสเทลเราด้วยหว่ะ โคตรคูลเลย เล่นเพลงสากลรัวๆ (แน่หล่ะ ฝรั่งยกโฮสเทลขนาดนี้ มาร้องเพลงเวียดนามก็ผิดผีไปหน่อยป่ะวะ) เราก็พยายามจะหาที่นั่งกินข้าว แต่ที่นั่งเต็มหมดละ เหลือแค่โซนด้านหน้านักร้อง นี่กูจะวีไอพีไปละ แต่ไม่มีทางเลือก ก็ต้องไปนั่งกินตรงนั้นแหละ เราก็สั่งกับข้าวกันอย่างกับมีโต๊ะจีน สั่งด้วยความหิวโหย หน้ามืดตามัว ถามว่ากินหมดไหม หมดดิครับ!! ระหว่างที่เรากินข้าว ชาวฝรั่งก็เริ่มเมาได้ที่ โอเค กูสตาร์ทช้าเองแหละ นักร้องเริ่มลากคนดูมาร้องเพลง เต้นกัน ระยำตำบอนอะไรก็ทำอ่ะแล้วแต่นักร้องมันจะเล่น ระหว่างนั้นก็แอบเห็นหนุ่มสาวที่เราไปถามทางตรงทะเลทรายขาวกินข้าวอยู่ตรงบาร์ สาวน้อยก็หันมายิ้มให้เราอย่างเฟรนลี่ เราก็ยิ้มตอบไป หน้าตากูนี่เฟรนลี่ทุกชาติ ทุกวัย ทุกเผ่าพันธุ์จริงๆสินะ
พอพวกเราอิ่มแล้ว ก็รู้สึกว่าได้เวลาหาแอลกอฮอล์มากระแทกปากละ ที่โฮสเทลก็มีช่วง Happy Hour ลดราคาเครื่องดื่ม ก็ต้องจัดซักหน่อยไหมหล่ะ บรรยากาศได้ขนาดนี้ พวกฝรั่งก็เริ่มจับกลุ่ม รวมตัวกันเล่นอะไรไม่รู้ ไอ้พวกเราก็พยายามหาที่เล่นเหมือนกัน พกบอร์ดเกมส์มาทั้งทีก็ต้องมาเล่นกันหน่อยไหมหล่ะ จนในที่สุดเราก็หาโต๊ะว่างๆไปนั่งเล่นหลบมุมกันอยู่แก๊งเดียว คือนอกจากหน้าตาแปลกแยกแล้ว ยังจะทำตัวแปลกแยกไปอีก ขณะที่นั่งเล่นเกมส์กันอยู่ ต้องอธิบายก่อนว่า บอร์ดเกมส์เกมส์นี้อนุญาตให้โกงได้ กฏคือใครไพ่หมดก่อนชนะ และสามารถแอบทิ้งไพ่โดยที่ Guard(รับบทด้วยซักคนในเกมส์) ต้องจับไม่ได้ ขณะที่แอบทิ้งไพ่กันอย่างเมามันส์ ก็มีฝรั่งคนนึง(ที่ดูก็รู้ว่า มึงเมาละหล่ะ) เข้ามาถามว่า
"เล่นอะไรกันหรอ"
"เล่นบอร์ดเกมส์กัน"
"เล่นยังไงอ่ะ"
"ก็แบบใครไพ่หมดก่อนชนะ แล้วก็โกงได้แต่ห้ามให้ Guard รู้" หลังจากต้าอธิบายกฏการเล่นไปแบบคร่าวๆแล้ว ฝรั่งคนนั้นก็ได้หันหน้าไปทางชัย ยกมือขึ้นมาชี้หน้าชัย และพูดว่า
"You're such a bullshit!!! มึงมันตอแหล มึงแอบทิ้งไพ่!!" ตอนนั้นทุกคนก็อึ้งแล้วก็ขำออกมาอย่างลั่น พอมันด่าเสร็จมันก็เดินไปค่ะ มึงมาเพื่อด่าแค่นั้นหรอวะ??
"ก็จังหวะกูทิ้งไพ่ กูเผลอไปสบตามันพอดีเลย" ชัยก็แถลงไขข้อข้องใจว่า กูก็นึกว่ามึงไปแอบแอ๊วมา
พวกเราก็เล่นบอร์ดเกมส์ไปกินเบียร์ไป จนรู้สึกว่า เราควรนอนได้แล้ว เพราะวันนี้ใช้พลังงานกันเยอะมาก เมื่อคืนก็นอนเอาตีสี่ และเราก็ดันตื่นโคตรเช้าไปอีก วันนี้จะนอนเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างฝรั่งแถวนี้ก็ร่วงกันไปหลายคน บางคนนี่ร่วงลงไปนอนคุยกับหมา ย้ำ!! มันลงไปนอนคุยกับหมา กอดหมา จูบหมา แล้วก็ทิ้งตัวนอนตรงลานที่โฮสเทลจัดไว้ให้ อาการหนักมากจริงๆ กูยอมใจมึงเลย และเราก็ร่ำลาค่ำคืนนี้ด้วยไอ้หล่อคุยกับหมานะฮะ เจอกันวันพรุ่งนี้กับตอนเช้าที่แสนสดใส โดยที่หลีกับต้ามันนัดกันไปวิ่ง... ไปเลยมึงไม่ต้องปลุกกู!!
[อ่านตอนต่อไปที่นี่นะ หญิงไทยใจงาม กับ เวียดนามใต้วายป่วง ep2: อย่าฝากชีวิตไว้กับการเดินทางไปดาลัด]
10 FEB 2017 @Muine
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น