In ๐ทริปท่องเที่ยว๐ ดาลัด มุยเน่ เวียดนามใต้ เอเชีย โฮจิมินห์ featured Vietnam

หญิงไทยใจงาม กับ เวียดนามใต้วายป่วง ep0 : จุดเริ่มต้นความฟ๊ากกกก



"พวกมึง!! ตั๋วไปเวียดนาม มีโปรเว้ย ไปกลับแค่สองพันกว่าบาทเอง จองเลยไหม"
"จองดิ รออะไร กดเลยเพื่อน!!"
"อ้อ!! เดินทางปีหน้านะ"
...
..
การได้ตั๋วเครื่องบินในราคาถูก มักแลกมากับการอดเปรี้ยวไว้กินหวานแบบยาวๆ เวลาล่วงเลยมากว่า 7 เดือน การเดินทางของเราครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งสิ้น 6 คน เยอะเป็นประวัติการการรวมตัวเหล่าชะนีและแฟนชะนีเลยค่ะ สมาชิกประกอบด้วย แอม หลี ต้า สายบุกป่าลุยน้ำผจญไฟ ชัยนี่ เกย์น้อยน่ารักผู้รักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ(รวมตัวเป็นสี่คน กลายเป็นทีมหยากไย่) และคู่รักเพียงคู่เดียวในทริป นุ้งปุ้มและพี่เป็ด(ทีมคู่รักปั๊มน้ำหนัก)

การเดินทางของเราคือช่วง 9-14 กุมภาพันธ์ 2017 ช่วงวาเลนไทน์ไปอีกกกก เหล่าแก๊งหยากไย่ก็หาได้แคร์ไม่ ส่วนทีมคู่รักนั้น อย่าไปกล่าวถึงเลยค่ะ หมั่นนน 555 เราคิดกันไว้ว่าครั้งนี้เราจะไปกันแบบทริปสาวๆ แต่งหน้าเต็ม แต่งตัวเต็ม เพื่อทำแคมเปญถ่ายรูปกันในทุกๆวัน เพราะฉะนั้น แต่ละวันต้องมีธีมสีที่เข้าพวกกัน (เป็นอะไรที่ยุ่งยากสำหรับอิฉันมากๆค่ะ แทบต้องชอปปิ้งเสื้อผ้าใหม่หมด กรีดร้องงงงง) ส่วนการวางแพลนเที่ยวนั้นเกิดขึ้นแบบกระทันหันมากๆ(ถึงขนาดว่าหลีที่มันลางานแบบกระทันหันมากเช่นกัน เพราะมันลืมนะคะ ลาวันจันทร์ เดินทางวันพฤหัส หัวหน้าไม่ตบก็บุญแล้วจ้า) แพลนคร่าวๆของพวกเราก็คือ "เราจะไปถึงโฮจิมินห์ในช่วงค่ำ จองรถนอนเดินทางไปมุยเน่ เที่ยวให้หนำใจและเช้าวันต่อไป เราจะเดินทางต่อไปดาลัด อยู่ยาวๆซักสองวัน ก่อนจะกลับมาที่โฮจิมินห์ เที่ยวในตัวเมืองและกลับกรุงเทพตอนดึกๆ"

ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าเราเที่ยวแบบสวนทางรีวิวชาวบ้านชาวช่องในเว็บต่างๆเค้าหมดเลย เพราะรูทส่วนใหญ่คือ โฮจิมินห์-ดาลัด-มุยเน่ แต่พวกเราเลือกที่จะเปลี่ยนรูทเป็น มุยเน่-ดาลัด-โฮจิมินห์ ที่เลือกรูทนี้เพราะเราเองแหละ เดินทางตามคนอื่นเขามันก็ไม่แปลกใหม่ดิฮะ เราต้องลองสร้างรูทของตัวเองขึ้นมาบ้าง หรือการจองห้องพักแบบกระชั้นชิด ชิดมากกกก ที่สุดท้ายนี่จองกันแบบสองวันก่อนเดินทาง ไฟไหม้ไปอีก

9 FEB 2017


ทุกคนนัดแนะกันอย่างดิบดีว่าเราจะไปเจอกันที่สนามบินดอนเมืองช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสาม เพราะเราบินไฟล์ทเย็นกัน ทุกคนก็แยกกันไปค่ะ มีเพียงเราและหลีที่นัดเจอกันก่อน ที่คิดไว้คือจะนั่งบีทีเอสต่อรถบัสไปสนามบิน แต่เส้นทางนี้นั้นใช้เวลาเดินทางถึงสองชม. แต่พวกเราเหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น ตัดสินใจขึ้นแท๊กซี่เลยละกัน ลุยทางด่วนสองต่อไปแบบรัวๆ เพื่อความรวดเร็ว ความวายป่วงแรกก็เกิดขึ้นทันทีที่ก้าวขาขึ้นรถเลยหล่ะ...

"อ่ะมึง กินไหม??" ทันทีที่ขึ้นรถหลีก็แกะขนมขาไก่(โคตรเค็ม) ส่งมาให้กินรองท้องไปก่อน เพราะเริ่มรู้สึกหิวกันแล้ว เราก็เอื้อมมือไปหยิบขาไก่มาใส่ปาก แต่... สังเกตเห็นอีกมือที่ยื่นมาจากด้านหน้า ทำท่าจะขอเรากินด้วย นั่นคือมือของลุงคนขับแท๊กซี่ที่ยื่นมาแต่มือ ... เราหันไปสบตากับหลี... ในใจก็คิดแล้ว เอาจริงดิลุง ลุงจะเล่นด้วยหรอ นี่ลุงจะขอกินด้วยจริงดิ เอาวะ!! ส่งสายตาไปหาหลีอีกที จัดให้ลุงเขาซักหน่อยเฮ้ยยย
"เอ่อ.. จะเอาขาไก่ด้วยหรอคะ" หลีพูดพลางยื่นขาไก่ไปให้ลุงหนึ่งแท่ง ลุงคนขับหันหน้ามาหาพวกเราและพูดว่า...
..
.
"ค่าทางด่วน..."

เพล้งงงงง!!!

เหมือนได้ยินเสียงเศษหน้าของมนุษย์ติงต๊องสองคนที่ร่วงกราวเต็มพื้นรถแท๊กซี่
"เอ่อ... เอ่อ... นี่ค่ะลุง" หลีนี่พูดจาไรไม่ถูก มือรวน ควานหาตังค์ รีบยื่นให้ลุงแทบไม่ทัน จังหวะนั้นบอกเลยว่า เขินมาก พยายามนั่งกลั้นขำกันหนักมาก ทำใจมองหน้าลุงคนขับแทบไม่ได้ แอบเห็นลุงหันไปแอบขำอีกต่างหาก เขินหนักไปกว่าเดิมอีก มนุษย์หน้าด้านอย่างเราสอง มาถึงจุดโคตรเขินนี้ได้อย่างไงกัน

พอถึงสนามบินเราก็รีบลงจากรถโทรหาบรรดาเพื่อนๆที่มาถึงกันครบหมดแล้ว ก่อนจะนำกระเป๋าไปชั่งว่าเกิน 7 กิโลกันกี่คน เพราะซื้อกระเป๋าโหลดใต้เครื่องไว้ 40 กิโล(จริงๆก็แค่ 20 อีก 20 คืออานิสงค์จากบัตรเครดิตของต้า) ทุกคนก็เอาของเหลวไปใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง พยายามยัดให้ครบๆ รวมถึงกระเป๋าที่หนักเกิน 7 กก. พอไปถึงช่องเช็คอิน..
"กระเป๋าโหลดได้แค่ 20 กิโลนะคะ ไม่ได้ซื้อโหลดกระเป๋าไว้ค่ะ ที่ซื้อไว้คือขากลับ"พอพี่แอร์กราวด์แกพูดแบบนั้น ทุกคนก็เงิบกันหมด รื้อของจัดกันใหม่สิครับ ก็ต้องมานั่งจัดสรรปันส่วนกันยกใหญ่ เพราะเหล่าชะนีแบกของไปแน่นมาก ทั้งเครื่องสำอาง รองเท้าหลายคู่ เสื้อผ้าอีกเป็นสิบ ไดร์เป่าผม ที่ม้วนผม ครบเซ็ทแต่งสวยกันมาก จนมิชชั่น "จัดกระเป๋าให้ไม่เกิน 20 กิโล" ผ่านไปได้ด้วยดี

หลังจากจัดการกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินต่อแถวเข้าเกตเพื่อไปนั่งรอขึ้นเครื่อง ป้าที่ตรวจตั๋วอยู่ด้านหน้าก็เช็คเที่ยวบินและจุดหมายของแต่ละคน จนมาถึงหลี..
"อ้าว!! ไปโฮจิมินห์หรอ??" ป้าก็ทักหลีขึ้นมา ทั้งๆที่หลีมันอยู่จะคนสุดท้ายอยู่แล้ว
"เอ๊ะ ไม่ได้ไปที่เดียวกับเพื่อนหรอคะ" ป้าแกก็เงยหน้ามายิ้มๆให้ ป้าแกก็ทักไปอย่างงั้นเอง แต่พอเดินเข้าไปด้านใน ความป่วงยังจะไม่จบ ไม่ได้หยิบบัตรขาออกเข้ามาจ้า ต้องฝากต้าเดินย้อนออกไปหยิบมาให้ใหม่อีก ใช้เวลาประมาณนึงกว่าจะได้เดินไปรอขึ้นเครื่อง แต่รออยู่นานก็ไม่เรียกซะที จนเดินไปถาม กลัวว่าจะตกเครื่องไม่รู้ตัว จนสรุปได้ว่าเลทนั่นเอง หิวข้าวมาก แต่ทุกคนตั้งใจว่าจะแบกท้องอันโหยหิวไปหาอะไรกินที่เวียดนามมากกว่า..

หนึ่งชั่วโมงครึ่งบนเครื่องบินกับการหลับๆตื่นๆ เราก็มาถึงที่โฮจิมินห์เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามแล้ว เวลาของเวียดนามและไทยคือเวลาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องตั้งนาฬิกาใหม่ใดๆทั้งสิ้น มิชชั่นแรกในการลงจากเครื่องบินคือ ผ่านตม.ของทางเวียดนามนั่นเอง ขั้นตอนทุกอย่างปกติ มีเราที่งงๆ เอ๋อๆ บ้างว่า ต้องไปช่องไหน แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี มิชชั่นต่อไปคือ แบ่งของจากกระเป๋าโหลดใต้เครื่องกลับคืนไปให้ทุกคน

ขณะที่กำลังรื้อๆกระเป๋ากันอยู่นั้น ต้าก็ได้พบสิ่งแปลกประหลาด เป็นแท่งเล็กๆขนาดความยาวคล้ายก้านใส่หู แต่ความหนานั้นหนากว่าก้านเยอะ มีจำนวนมหาศาลหล่นอยู่ในกระเป๋า แต่ไม่สามารถหาเจ้าของได้ ว่าไอ้ก้านนี่มันคือของใคร??? จนทุกคนต้องก้มไปดูให้แน่ใจ
"เฮ้ยย นี่มันหวีหรือเปล่า" ใครซักคนพูดขึ้นมา ปุ้มรีบรื้อมาดูหวีไฟฟ้าของตัวเองทันที และพบว่า หวีนั้นได้หัวโกร๋นไปเรียบร้อยแล้ว ซากหวีหล่นเต็มกระเป๋า ลาก่อนนะเจ้าหวีไฟฟ้า ตอนนี้กลายเป็นอุปกรณ์ไร้ประโยชน์ไปเรียบร้อยแล้วจ่ะ

หลังจากแบ่งของกันเรียบร้อยเราก็ออกไปแลกเงินและซื้อซิมที่ด้านหน้าของสนามบิน เรื่องการแลกเงิน ใครจะแลกเป็นดองจากไทยไปเลยก็ได้ หรือจะแลกเงินดอลล่า พกไปแลกดองที่เวียดนามก็ได้เช่น แต่ยังไงก็อยากแนะนำให้พกดอลล่าไปด้วย เผื่อเงินหมดจะได้เอาดอลล่าไปแลกได้ เพราะบางธนาคารก็ไม่รับเงินไทยนะจ๊ะ ส่วนทางทีมเรามีทั้งสองแบบเลย ทั้งแลกจากไทยไปแล้ว และแบบพกดอลล่าไป ก็เดินดูเรทเงิน แล้วก็จิ้มแลกเอาเลย หน่วยเงินดองเนี่ยหน่วยมันจะใหญ่มากจนเรางงเลยแหละ ให้คิดไว้เสมอว่า 10,000 ดอง คือ 15 บาท ถ้าแลกเงินมาแล้วมันขาดไป 500 หรือ 1000 ก็ช่างมันเถอะนะ มันมีค่าน้อยมาก ไม่ต้องไปท้วงเขา เดี๋ยวหน้าแตกเพล้ง ทางนี่ก็เกือบแตกเพล้งแล้ว แต่ได้ศึกษามาบ้างแล้ว ก็เลยรอดพ้นไปได้

ส่วนซิมโทรศัทพ์ ก็จิ้มเอาด้านหน้าเลยเหมือนกัน เลือกเจ้าที่ใช่ ราคาที่ชอบ พวกเราเลือกซื้อซิมอินเตอร์เนตกัน 12 GB ราคาประมาณ 200,000 ดอง ก็ราวๆสามร้อยบาท เอาไว้ใช้อินเตอร์เน็ทตามสไตล์สาวโซเชียล แต่เอาเข้าจริงนะ ใช้ไม่หมดหรอก เพราะบางทีทางขึ้นเขาสัญญาณไม่มี เน็ตกาก สารพัดปัญหา จนรำคาญเน็ตมาก เน็ตไม่แรงเลยค่ะซิส เพราะฉะนั้นซื้อแพคเกจน้อยกว่านี้ก็ได้นะ

ผ่านพ้นจากการเลือกซื้อซิมและแลกเงินกันแล้ว ขั้นต่อไปคือ เข้าไป ถนนฟาร์มงูเหลา(อ่านแบบนี่เปล่าไม่รู้ แต่ก็อ่านไปแล้ว) เพื่อไปซื้อรถทัวร์เดินทางไปมุยเน่ และหาข้าวกินแบบด่วนๆ เพราะหิวมากๆ การจะไปถนนฟาร์มงูเหลา มีสองวิธีคือนั่งรสบัสไป และแท๊กซี่ ด้วยสัมภาระอันมากมายของเหล่าชะนี เลยตัดสินใจว่าแท๊กซี่เถอะ เพื่อความสบายของชีวิต แต่... อ่านมาเยอะว่าแท๊กซี่เวียดนามชอบโกง เราก็ระแวงกันประมาณหนึ่ง

แต่แท๊กซี่ที่นี่ดีอย่างคือ มีรถคันใหญ่สามท่อน และคันเล็กแบบปกติบ้านเราให้เลือกนั่ง เราไปกัน 6 คนก็สามารถขึ้นรถแท๊กซี่ไปด้วยกันได้สบายๆ เดินออกมาหน้าสนามบิน ก็เดินไปที่คิวแท๊กซี่ เสี่ยงดูว่าจะโดนโกงตั้งแต่มาเหยียบเลยไหม คนขับก็มาถามจุดหมายปลายทาง ปัญหาด้านภาษาเกิดขึ้นละ เราออกเสียงไม่ได้แน่ๆ แต่คนขับก็ดันพยักหน้าเหมือนเข้าใจว่าเราจะไปฟาร์มงูหลาว (ปล. คนขับแอบหน้าตาน่ารักอยู่นะคะ นานๆจะหลงน่ารักมาซักคนนะ)



หลังจากขึ้นรถกันเรียบร้อย ปัญหาต่อไปคือ... มิเตอร์มันดูยังไงวะ ทำไมมันขึ้นรัวๆแบบนี้ หรือว่าโดนโกง แล้งทำไมนั่งมานาแล้วยังไม่ถึง ขับอ้อมรึเปล่า ระแวงระเบิดระเบ้อ จนพี่เป็ดต้องกูเกิ้ลหาวิธีดูมิเตอร์ เปิดแมพดูว่าเค้าไปถูกทางชัวร์ๆนะ บรรยากาศรอบข้างไม่ต่างจากถนนที่กรุงเทพเท่าไหร่เลย ให้ฟิลเหมือนอยู่กทม. ต่างกันตรงที่ มอเตอร์ไซด์เยอะมาก กดแตรกันแบบปรับตัวไม่ทัน ตกใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแตร ถ้าบ้านเรากดแตรแบบนี้เนี่ย อิคันหน้าคว้าปืนมายิงแน่ๆ นั่งไปซักพัก คนขับก็เริ่มหันมาถามว่า ตรงไหนของฟาร์มงูหลาว... นั่นไง งานมาแล้ว ไม่ได้ดูทาง แพลนก็วางมาแบบยืดหยุ่นแบบ ยืดหยุ่นมากๆๆๆ ไม่ดูอะไรมาเลย ก็เลยสุ่มให้จอดที่ Bus Station เลยละกัน พอรถจอดก็ได้รู้ว่า.. เรามาอู่รถจริงๆแหละ แต่อู่รถเมล์ไง ถึงกับผงะ ทำตัวไม่ถูก ค่ารถจากสนามบินมาที่นี่ก็ประมาณ 150,000 ดอง ถ้าแพงกว่านี้มากๆก็แปลว่าโดนโกงแน่ๆหล่ะนะ พอลงมาก็เห็นลุงรปภ.นั่งอยู่ กำลังจะเดินไปถาม ลุงดันชี้ไปที่เคาน์เตอร์ด้านหลังตัวเอง แต่พอเดินไปดูที่เคาน์เตอร์... ไม่มีมนุษย์ซักคน และค่อยข้างเปลี่ยวซะด้วย เลยตัดสินใจให้ทุกคนเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งที่ดูมีแสงสี ร้านค้ามากมายจะดีกว่า หลงทางไปที่ครึกครื้นดีกว่าโดนปล้นในที่เปลี่ยวแน่ๆ



สิ่งที่ยากอีกอย่างในประเทศนี้คือ.. การเดินข้ามถนน เราต้องมีความใจกล้าและมั่นหน้าในการเดินข้ามถนนอย่างภาคภูมิ และต้องมั่นใจว่ารถมันจะหลบเราได้ การที่สัญญาณไฟบอกให้เราข้ามถนนได้ เราจะข้ามทันทีไม่ได้ เพราะมันจะมีรถฝ่าไฟแดงมาอีกซักประมาณห้าวิหลังสัญญาณเปลี่ยน เพราะฉะนั้นดีเลย์ขาตัวเองก่อน ให้มั่นใจว่าหยุดจริงค่อยข้าม แต่พอรถหยุดต้องรีบเดินเลยนะ เพราะอีกสองสามวิ กองทัพมอเตอร์ไซด์ก็จะโผล่มาจากทิศใดทิศหนึ่งแน่นอน ใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่ต้องข้ามถนน


แต่พอข้ามไปถึงอีกฝั่งแล้ว ก็อยากจะกินข้าวเลยในทันที เพราะหิวมากๆ แต่มิชชั่นของเราคือหารถทัวร์ไปมุยเน่ซะก่อน!! เดินไปซักสองสามตึก เราก็เจอร้านขายทัวร์ เป็นเจ๊คนนึงที่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก พูดสำเนียงฟังรู้เรื่องด้วย (เจ๊มีผัวฝรั่งค่ะ เลยทีความเมพในการใช้ภาษาอังกฤษ ปุ้มเห็นเจ๊แกเฟสไทม์กับซะมีอยู่พอดี มีจงมีจุ๊บด้วยนะ) และราคารถนอนก็เป็นราคาที่รับได้(คนละ 110,000 ดอง) ซึ่งรถเที่ยวสุดท้ายคือรอบ 22.00 แต่เจ๊จะให้เรามารวมตัวกันที่ร้านเจ๊ตอน 21.30 เพื่อรอรถมารับ เราก็เลยฝากกระเป๋าไว้ที่เจ๊ แล้วก็ขอคำแนะนำร้านข้าวจากเจ๊ เจ๊ก็แนะนำร้านเฝอให้พวกเรา ถัดจากร้านเจ๊ไปสองห้องนี่แหละ ฮั้วกันป่ะเนี่ยเจ๊ แต่ไม่เป็นไร หิวมาก กินได้ทุกอย่างเลยตอนนี้

ตัดสินใจเดินเข้าร้านเฝอข้างๆร้านเจ๊ พอเห็นเมนูก็พบว่า มีเมนูเนื้อไก่เพียง 2 เมนูเท่านั้น นอกนั้นเนื้อวัวหมดเลย แล้วทั้งแก๊งมีต้าคนเดียวที่กินเนื้อวัว ทุกคนเลยกดคอมโบเฝอไก่+ชานมมา 5 ชุด ส่วนต้าก็จัดสตูวเนื้อซัมติงกับน้ำเต้าหู้ ร้านนี้ราคาค่อนข้างแพง เป็นราคานักท่องเที่ยวเลย แต่รสชาติก็จัดว่าดีแบบจืดๆ(คือรสชาติเน้นจืดเป็นส่วนใหญ่เลย) แต่ก็มีเครื่องปรุงเป็นซีอิ๊ว ซอสพริก และพริกเผาแนวอาหารจีนไว้ให้เราปรุงกันอยู่ ก็ปรุงกันตามอัธยาศัย แต่ที่อร่อยกว่าที่คิดก็คือ ชานมนี่แหละ อร่อยได้รสชาอย่างแท้จริง ขณะที่นั่งกินเฝอกันอยู่ชั้นสองของร้าน ก็ได้ยินเสียงแตรจากถนนเป็นแบ๊คกราวน์ประกอบฉาก และเสียงพูดคุยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (พวกเราก็ต่่างชาตินี่หว่า) ทำให้รู้ว่าร้านนี้มีแต่นักท่องเที่ยวมากินนี่เอง ราคาก็จัดไปเน้นๆเหมือนกัน



หลังจากกินอิ่มกันจนพอใจ ก็ได้เวลาออกเดินเล่นแถวๆนี้กันแล้วหล่ะ มินิมาร์ทคือสถานที่ที่เราต้องเข้าไปเยี่ยมชม เซอร์เวย์ราคาอาหารและเครื่องดื่มกันซะหน่อย แล้วก็พบว่า บรรดาเครื่องดื่มนั้นราคาถูกกว่าบ้านเราซะอีก ขนาดเบียร์ช้าง ยังถูกกว่าบ้านเราเลย ภาษีเครื่องดื่มน้อยมาก ตัดภาพมาที่ขนมก็แพงกว่าบ้านเราไปซักหน่อย สายดื่มคงจะฟิน สายขนมก็คงจะแอบเศร้าเล็กๆ ส่วนพวกเราเป็นทั้งสองสายก็...เจ๊าๆกันไปละกันนะ


ถนนที่เราหลงมาเดินเป็นถนนที่เหมือนกันถนนข้าวสารบ้านเรามากๆ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โฮสเทล ผับ คลับ ตั้งติดกันเป็นแผงๆ ตลอดทั้งซอย พวกเราก็เดินเซอร์เวย์ทั้งร้านเหล้า ร้านของกินว่ามีอะไรน่าลองบ้าง ทุกอย่างมันช่างน่าลองกินไปซะหมด แต่ท้องแน่นไปด้วยเฝอ ไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้อีกแล้ว จนเดินวนมาที่ร้านเจ๊อีกรอบ แต่...เรามันพวกสายปาร์ตี้อยู่แล้ว ถ้าไม่กินเบียร์มันก็ยังไงอยู่น้า อย่างน้อยก็ขอซักขวดนึงเถอะ มาถึงเวียดนามก็ต้องลองเบียร์เวียดนามหน่อยสิ ไม่งั้นเขาจะหาว่ามาไม่ถึง ตัดสินใจเดินเข้าร้านๆนึงไป เบียร์ที่คิดว่าถูกอยู่แล้วยิ่งถูกไปอีก เพราะซื้อ 2 แถม 1 จัดสิครับ รออะไร มาที่ไซง่อน ก็ต้องสั่งเบียร์ไซง่อนนะ กินไปแล้วก็ให้ความรู้สึกถึงลีโอบ้านเรา ไม่ได้เข้มมากนัก ก็นั่งคุยนั่งดื่มกันซักพักก็ตัดสินใจเดินวนไปหาเจ๊ เพราะมันก็ใกล้จะได้เวลาขึ้นรถแล้ว



พอไปถึงร้านเจ๊ ก็ได้สอบถามว่าเราจะถึงที่มุยเน่กันตอนกี่โมง และคำตอบเจ๊ก็ทำให้เราอึ้ง!!

"ประมาณตีสี่ได้จ่ะ".... ตีสี่!! เอาจริงดิเจ๊ เจ๊เห็นพวกเราเงิบๆก็เลยเสนอขายทัวร์ไปอีก

"แต่ถ้าไปถึงไม่มีอะไรทำ ซื้อทัวร์ไปเที่ยวรอบ sunrise ได้นะคะ ออกเดินทาง 4.30 กลับมาช่วง 8 โมงเช้าก็กลับเข้าที่พักได้พอดี" ส่วนใหญ่ทัวร์ไปทะเลทรายเนี่ยจะมีสองรอบด้วยกัน คือช่วง sunrise และ sunset แต่ว่า...ตีสี่เนี่ย เช้าไปไหม?? เราควรนอนรึเปล่า??

"แล้วไปช่วงไหนสวยกว่ากันคะ" ก็เลยต้องขอคำแนะนำจากเจ๊ซักหน่อย

"ถ้าจะเอาถ่ายรูปสวยก็ต้องไปช่วง sunset นะ แต่ถ้าจะเอาอากาศสบายๆไม่ร้อนก็ต้องไปช่วง sunrise นะ"

"ถ้ายังไงเดี๋ยวไปซื้อทัวร์ ตอนถึงที่โน่นละกันนะคะ" หลังจากได้ความรู้เรื่องทัวร์แล้ว พวกเราก็รอเวลาให้รถมารับ ระหว่างนั้นแต่ละคนก็พยายามทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยที่สุด ทั้งแปรงฟัน ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว จนกระทั่งรถมารับที่หน้าร้านของเจ๊ เจ๊ก็ได้ทำการแลกเฟสบุ๊คกับต้า เผื่อว่าพวกเราต้องการจองรถจะได้ใช้บริการทัวร์ของเจ๊ได้อีก


พวกเราก็แบกกระเป๋าเดินข้ามถนนไปขึ้นรถอีกฝั่งนึง พนักงานรถทัวร์ก็มาช่วยยกกระเป๋าเข้าไปเก็บให้ และถามคำถามชวนหลอนที่ว่า...

"มากัน 7 คนหรอ??"

"6 คนสิ!!!" ทุกคนแทบจะตอบพร้อมกัน แล้วก็ทำหน้าเหรอหรา พนักงานก็แอบขำ ทำให้เรารู้ว่า มึงแกล้งพวกกูนี่!!

การขึ้นรถนอนที่นี่ก็จะมีบริการถุงพลาสติกให้ก่อนขึ้นรถ เพื่อให้เราถอดรองเท้าใส่ถุงไว้แล้วหิ้วเดินเข้าไปเก็บไว้ที่เตียงเรา พวกเราทุกคนก็จองเตียงนอนชั้นบนตามคำแนะนำของเจ๊ เพราะเจ๊บอกว่า เตียงบนดีกว่านะ พวกเราก็เชื่อจ้า ทุกคนก็กระจายตัวนอนช่วงท้ายรถกัน เพราะมันว่างอยู่แค่นั้นแหละ ทางพนักงานก็จะเดินมาถามชื่อที่พักของพวกเรา เพราะถ้าเป็นทางผ่านเนี่ยก็จะแวะส่งถึงที่เลย แต่ที่พักเราไม่ได้อยู่ในตัวเมือง อยู่ริมหาดโน่น เพราะฉะนั้นจะต้องต่อรถเข้าไปเอง รถไปส่งไม่ได้ เราก็คิดว่าคงมีรถมาจอดๆรออยู่ตรงท่ารถนั่นแหละ เพราะก็ต้องไปส่งคนอยู่แล้วนี่เนอะ

"มาจากจีนใช่ไหม" พนักงานกวนตีนคนเดิมนี่แหละ

"เปล่าๆ เรามาจากไทย"

"โอเคๆ" แต่มือมันเขียนลงไปในช่องข้อมูลว่า Chinese เอ้า!! อินี่ จีนก็จีนวะ



ขณะที่เราใช้เวลาอยู่บนรถนอนกันซักพักก็ไม่มีใครนอนหลับ ก็เลยพยายามคิดว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี เราจะเข้าที่พักยังไงดี ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเราจะไปถึงตอนเช้ามืด แถมโรงแรมก็ไม่รู้จะให้เราเช็คอินไหม ไม่ได้จองอีก

"ขอร้องหล่ะมึง หาที่พักให้เราได้เข้าไปอาบน้ำ พักผ่อนกันเถอะ เหนียวตัวกันจะแย่อยู่แล้วนะ" ชัยได้พยายามทำการเรียกร้องหาห้องพัก

"เปิดเวลานี้นี่ต้องม่านรูดละ" หลีได้เสนอทางเลือกนี้มา เอาอีกละ.. พวกมึงจะเอาประสบการณ์ใหม่กันอีกแล้วหรอ?? เปิดโลกเข้าไปจ่ะ

"หรือเราไปทัวร์มันสองรอบเลยไหมมึง รอบเช้าเสร็จ ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ละก็ไปอีกรอบนึง" หลีได้เสนอทางเลือกที่สองมา... มึงจะไปซ้ำๆทำไมหลายรอบหล่ะว้าาา แต่ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็คงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

"ขอให้กูนอนเถอะมึง ม่านรูดกูก็ยอม" แต่ชัยก็อยากจะขอพักผ่อนหน่อย เพราะบนรถพวกเราก็ไม่ค่อยจะได้นอนกัน แต่เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า..

"ที่พักที่กูเลือกมาอ่ะ มีบาร์ 24 ชั่วโมงเว้ย แปลว่าต้องมีพนักงานอยู่ตลอด เราไปที่พักกัน ถ้าไม่มีที่ให้นอน เราก็นั่งบาร์รอเช็คอินไปเลย อย่างน้อยก็มีที่ให้เราพักพิง" เพื่อนๆทุกคนเห็นด้วยกับทางเลือกนี้ ในขณะที่ปุ้มเมารถจนต้องย้ายไปนอนเตียงข้างล่างแทน และบอกทุกคนว่า ข้างล่างนอนสบายกว่านะพวกมึง! อิเจ๊!!!

จนเวลาล่วงเลยไปจนเข้าสู่ช่วงตีสาม รถเริ่มแวะจอดตามทาง ทำให้เราเริ่มรู้ว่า ตอนนี้เราเข้าสู่มุยเน่กันแล้ว แต่!! นี่มันตีสามเองโว้ย ไหนบอกถึงตีสี่ไงเล่า!!! ทุกคนค่อยๆทยอยลงไปเรื่อยๆ จนเหลือแค่พวกเราเพียง 6 คนบนรถ... รถจอดให้เราลงที่หน้าอู่ ที่ที่ไม่มีอะไรเลย สิ่งที่พวกเราเห็นมีเพียงถนนว่างเปล่ากับซากขยะ และถุงพลาสติกที่ลอยละลิ่วปลิวไปตามลมอยู่บริเวณถนน กับไฟตามทางสีส้ม ไม่มีสิ่งมีชีวิตนอกเหนือจากพวกเราและพนักงานรถ นี่จะมีซอมบี้วิ่งมาจากเนินถนนด้านหน้าไหมคะ... จะทำยังไงดีกับสภาพบ้านเมืองแบบ The Walking Dead แบบนี้?

              




9 FEB 2017@Muine(The Walking Dead)


Related Articles

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น