ทริปนี้ตัดสินใจทำตัวชั่วด้วยการเทเพื่อนทุกคนที่นัดกันอย่างดิบดีว่าจะไปเดินป่ากัน รู้ตัวว่าไม่น่ารอด แถมในใจก็อยากไปทะเลใกล้ๆให้หายอยาก แค่อยากดำน้ำ อาบแดด ดูพระอาทิตย์ตก เอาตัวไปโดนทะเล ก็โอเคละ แต่ทริปนี้ก็ไม่ได้เหงาจนเกินไป หลอกเพื่อนสมัยมัธยมไปด้วย 1 คน เป็นการไปเที่ยวแบบจริงจังด้วยกันครั้งแรก และแน่นอนว่า เราจะเรียนรู้ไปด้วยกันนี่แหละ
ตอนแรกก็เล็งไว้หลายเกาะนะ แต่ไม่รู้ทำไม ใจมันเลือกเกาะช้างแฮะ เกาะที่ใหญ่รองจากเกาะภูเก็ต และก็ตัดสินใจเลือกจองที่พักที่ lonely beach ด้วยเหตุผลที่ว่า มันเป็นแหล่งของ backpacker แน่นอนว่าเราอยากไปอยู่ที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ ฝึกปรือภาษาอังกฤษซะหน่อย แพลนก็ไม่มี คิดแต่ว่าเราจะดำน้ำ!! แน่นอนว่าเหล่าแก๊งเดินป่าก็น่าจะได้ทำการสาปแช่งเราไว้อย่างแน่นอน แต่... เราเลือกแล้ว จิตใจเรามันเรียกร้องทะเลเสียงดังมากๆ
ด้วยความกังวลต่างๆของเพื่อนมากมาย (เพื่อนเราคือมนุษย์ผู้เตรียมพร้อมทุกอย่างแต่เนิ่นๆ ผิดจากเราลิบลับ) ทำให้เราต้องมีแพลนในหัวซะหน่อย ไปกัน 4 วัน 3 คืน แพลนง่ายๆคือ "วันแรกเดินทาง วันที่สองดำน้ำ วันที่สามเล่นน้ำตก วันที่สี่เดินทางกลับ" แพลนง่ายมากไปอีก อย่างที่บอกว่าทริปนี้ตั้งใจไปชิลแบบสุดๆและก็ไม่อยากให้เกินสามพัน(เพราะบอกเพื่อนราคานี้ ฮ่าๆๆๆๆ)
วิธีไปเกาะช้าง ณ ปี 2017 ไม่มีแล้วรถตู้ที่อนุสาวรีย์ เพราะฉะนั้นเราก็เลยเดินทางไปที่ขนส่งเอกมัย ซึ่งอยู่ตรง BTS เอกมัยเลย นี่แหละขนส่งที่แท้ทรู เพราะอยู่ใกล้การขนส่งอื่นๆ เหมือนว่ารถตู้จะมีทุกชั่วโมงเลยนะ หรือใครสะดวกรถทัวร์ก็จองไปก่อน เพราะเราก็อยากไปรถทัวร์นะมันคงสบายกว่า ที่สำคัญคือถูกกว่า อ้อ!! เดินทางนานกว่าด้วยนะ แต่เนื่องจากไม่ได้จองล่วงหน้าไปก็เลยเต็มหมดแล้ว ค่ารถตู้กรุงเทพ-เกาะช้างอยู่ที่ 320 บาทต่อคน มีแวะพักประมาณสองจุดให้ได้เข้าห้องน้ำ ช่วงนี้รถตู้ก็ค่อนข้างตรวจเข้มมากๆ ความเร็วห้ามเกิน 100 ถ้าเกิน GPS ร้องเตือนเลยทันที ผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งก็รู้สึกปลอดภัยดีนะ แต่จะรู้สึกใจไม่ดีก็ตอนที่ลุงคนขับพูดก่อนจะออกรถว่า
"ล่าสุดมีรถตู้คันนึงหลับใน ตายคารถไปแล้ว ดีนะที่ตายแค่คนเดียว" ลุง!! มันใช่เวลาพูดเรื่องนี้ไหมเนี่ย เราคิดว่าจังหวัดตราดเนี่ย มันไม่น่าจะไกลมากนะ เลยระยองไปก็ถึงแล้วหล่ะ ที่ไหนได้ต้องผ่านจันทบุรี ซึ่งอิจังหวัดนี้เนี่ยนั่งนานมากกว่าจะผ่านมันไปได้ ก็นั่งหลับมันมาตลอดทางนั่นแหละ ปวดคอ ปวดตูด ปวดขาบ้างตามระยะเวลาการเดินทาง 4-5 ชั่วโมงแบบนี้ โดยที่มีลุงคนขับที่แกคอยเหยียบเบรคเอี๊ยด ทุกรอบที่ GPS แจ้งเตือน ค่อยๆชะลอไหมลุง เหยียบเบรคกะทันหันแบบนี้มันอันตรายโฟ้ยยยย และรถตู้ก็ปล่อยเราลงตรง ท่ารถแสนตุ้ง ซึ่งตรงนั้นเนี่ยมีรถสองแถวสีส้มจอดรอให้เราขึ้นเพื่อไปท่าเรือกันตรงนั้น แต่บรรยากาศมันชักจะแย่ลงหน่ะสิ ฝนเริ่มตกปรอยๆลงมา เราก็ภาวนาให้มันอย่าตกหนักเลย ตกปรอยๆเรายังโอเค คือยังไม่พร้อมเปียกตอนนี้ โปรดเข้าใจลูกช้างด้วยค่ะ
ตรงท่ารถแสนตุ้งเราก็ซื้อตั๋วเรือจากตรงนั้นเลย ถ้าซื้อแบบไป-กลับก็จะราคาถูกกว่าซื้อแบบรอบเดียว ซึ่ง... จำราคาไม่ค่อยแม่น ไปกลับน่าจะ 150 ถ้ารอบเดียวน่าจะ 80 บาท โดยประมาณ ซื้อตั๋วเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถสองแถวสีส้มรอเลย เราก็เลือกนั่งริมนอกสุดเลยจ้า ลงง่ายดี บนรถก็มีทั้งคนไทย คนจีน คนเกาหลี ฝรั่ง โอเคหลากหลายเชื้อชาติมากๆ รถออกไปได้ซักพักจากที่ฝนตกปรอยๆ ทุกอย่างก็ดูหนักขึ้นๆ กลายเป็นฝนตกโคตรหนัก น้ำฝนสาดกระเซ็น จนต้องเอาผ้าใบด้านข้างรอออกมา ฝรั่งฝั่งตรงข้ามก็ตื่นเต้นกันมาก มีความยกโทสับมาถ่ายรูป ส่วนอิคนไทยทางนี้ อยากจะกรี๊ดดด ตกเห้ไรตอนนี้ฟะ ไม่พร้อมเปียกเด้อออ แต่ผ่านไปพักเดียว ฝนหยุดตก แดดออกแรงมาก เดี๋ยวนะ..... ความผันผวนทางสภาพอากาศนี้คืออะไรกันเนี่ย เข้าใจยากกว่าผู้หญิงตอนเป็นเมนส์ซะอีก
ขณะที่นั่งบนรถเนี่ย พ่อหนุ่มฝรั่งฝั่งตรงข้ามก็เหมือนจะแอบมองหน้าเรา สาบานได้นี่ไม่ได้คิดไปเอง คือเรามองข้างนอกตลอด แต่พอหันไปมองฝั่งตรงข้ามต้องสบตากับเขาทุกที พอสบตาปุ๊บพ่อหนุ่มฝรั่งก็เบนสายตาไปที่อื่นทำเหมือนไม่ได้มองเรา คือเป็นแบบนี้ตลอดทางอ่ะ จนแบบ.. ยังไงหล่ะ ถ้ามึงไม่มากับเมียนี่กูคิดว่ามึงปิ๊งกูละนะ คือมีสองอย่างที่คนจะมองเราได้ หนึ่งคือสวย สองคือแปลก สงสัยจะเป็นข้อหลัง... แป่วววว แต่เราก็ไม่ถือสาหรอก จนหลังๆพอสบตากันเราก็ยิ้มให้แทนแล้วกัน เพื่อโชว์ว่า เรามาด้วยความเป็นมิตรนะท่าน
จนเดินทางมาถึงท่าเรือ มนุษย์สัมภาระหนักเช่นเราก็แบกกระเป๋าไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ สภาพโดยทั่วไปของเฟอร์รี่ก็คือด้านล่างให้รถเข้ามาจอด ด้านบนมีที่ให้คนนั่งซึ่งเป็นลักษณะที่นั่งไม้แง่งๆแค่นั้นแหละไม่มีเบาะนิ่มอะไรทั้งนั้น พัดลมหรอ ฝันไปเถอะ อากาศฝนตกเหนียวตัวแบบนี้ ชะโงกหน้าไปรับลมที่หน้าต่างซะเถอะ แต่แค่ได้มองเห็นทะเล และเกาะช้างที่อยู่ไม่ไกลจากเรา ก็ตื่นเต้นแล้วอ่ะ ได้เจอทะเลแล้วโว้ยยย แม้ท้องฟ้าจะดูทะมึนๆ ดำๆนิดนึง แต่สีน้ำทะเลก็เป็นสีมรกตสวยดีนะ สีน้ำทะเลไม่เหมือนภาคใต้เลย ที่นี่สีน้ำทะเลเป็นสีเข้ม มันเป็นสีน้ำเงินปนเขียวอ่ะ และมีการไล่สีด้วย น่ารักโคตรๆ นั่งไปได้ซักพัก ก็มีพี่ผู้หญิงคนนึงถามเราว่า "เรือมันเร็วขึ้นรึเปล่าค่ะ เมื่อก่อนเคยมามันต้องนั่งเรือนานกว่านี้"
พวกเราก็ไม่รู้จะตอบยังไง "พวกหนูมากันครั้งแรกค่ะพี่"
"อ้าวหรอ!! ฮ่าๆๆๆ เมื่อก่อนที่พี่เคยมามันนั่งเรือนานเกือบชั่วโมงเลยนะ แต่นี่แค่แปปเดียวเองจะถึงแล้ว" ก็เลยบอกพี่เขาไปแหละว่ามันมีสองท่าเรือ เราคงมาอีกท่าเรือนึงแหละมั้ง มันก็เลยไวกว่า แล้วเราก็คุยกับพี่เขาจนได้ความว่า พี่เขาชื่อหญิง มาเที่ยวคนเดียว อยู่เกือบอาทิตย์แหนะ พี่เขาบอกว่า เคยมาเกาะช้างหลายรอบแล้ว นี่พักร้อนจากงานก็เลยมาที่ไทย ปกติพี่แกทำงานที่สวิตเซอร์แลนด์เพราะมีแฟนเป็นคนเยอรมัน ก็เลยไปใช้ชีวิตที่โน่น พอถามกันเรื่องที่พักก็พบว่า เราพักที่ lonely beach เหมือนกันเลย ก็เลยตัดสินใจนั่งรถต่อไปด้วยกัน
"พี่นึกว่าพวกน้องจะพักกันที่หาดทรายขาวซะอีก เพราะคนไทยไปพักที่นั่นกันเยอะ" เราก็พึ่งรู้แหละว่า คนไทยส่วนใหญ่พักหาดทรายขาวกัน แต่ไม่แคร์เด้อ เพราะที่ lonely beach มีซอยโลกีย์อยู่ ก็เลยเลือกไปพักใกล้ๆเวลาเมาจะได้เดินกลับได้ชิวๆ แต่เส้นทางจากท่าเรือไป lonely beach นี่มันโคตรรรรรรรจะไกลเลย นั่งรถสองแถวนานมาก มีพี่ชาวไทยสองคนคงเป็นแฟนกัน ถามเราว่าเราพักที่ไหนเพราะเขายังไม่ได้จองที่พัก เราก็บอกว่า lonely beach พี่แกก็ตอบมาว่า หาดทรายขาว? เราก็บอกว่า lonely beach พี่แกก็ตอบมาว่า หาดทรายขาว? จนแบบนี่เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอวะ?? งงไปอีกกก ก็เลยช่างแม่งไปค่ะ แล้วแต่พี่จะคิดละกัน แต่ละคนก็ทยอยลงไปๆเรื่อยๆ จนเหลือแค่เรา เพื่อนเรา และพี่หญิง เหงาๆสามคนบนสองแถว ร้อยนึงนั่งซะคุ้มเลย ยาวมากกก และเส้นทางตอนไปโลนลี่บีชคือโหดสัสรัสเซีย ทางเป็นโค้งขึ้นเขารูปตัวเอส ผ่านทางนั้นทีไรใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกที จนบอกเพื่อนเลยว่า ลืมเรื่องการเช่ามอเตอร์ไซด์มาขับได้เลยนะ มึงดูทาง!!! ต่อให้ขับเป็นกูก็ไม่ขับ!! ขนาดนั่งบนสองแถวตัวยังจะปลิวไปตามแรงโค้ง
ในที่สุดสองแถวก็มาส่งเราที่โฮสเทลได้อย่างปลอดภัย ที่พักพี่หญิงก็อยู่ถัดจากเราไปนิดเดียวเอง เพราะโลนลี่บีชมี community ที่โคตรสั้น มีร้านขายของครบทุกอย่างเลยนะ แต่ว่ามีซอยอยู่แค่สี่ซอยเองมั้ง สองซอยเป็นซอยโลกีย์ ส่วนที่เหลือก็เป็นซอยเดินเข้าไปที่โรงแรมที่ติดหาด ที่พักเรานั้น ป่าดงพงไพรมาก จนเพื่อนถึงกับพูดว่า คราวหลังไม่นอนที่นี่นะเว้ย ด้วยความที่ห้องพักเราไม่มีแอร์ มีพัดลมโง่ๆ กับห้องติดมุ้งลวด เพราะงั้นอากาศก็เลยอบๆ กลิ่นก็เลยอับๆ น้ำก็ไหลอย่างกะเยี่ยวมด อาบน้ำกันทีนานมากกว่าจะอาบกันเสร็จ ที่พักเราไม่มีคนไทยเลย ฝรั่งล้วน มีแต่พี่พนักงานนี่แหละที่เป็นคนไทยแล้วก็แอบบอกเราว่า คนไทยที่จองที่นี่ชอบเบี้ยวไม่มาพักทุกที แต่เรามาค่ะพี่ มาถึงจุดนี้แล้ว เราจะนอนที่นี่แหละค่ะ เพราะมันราคาถูกดีเลยค่ะ
หลังจากเช็คอินกันแล้ว เราก็ขอแอบไปนั่งกินข้าวกันซะหน่อย ก่อนจะเดินหาทัวร์ดำน้ำในวันพรุ่งนี้ และก็พบว่า ทัวร์ดำน้ำแม่มมีรูทเดียว บางบ.ต่างกันแค่ว่าหยุดให้ดำสี่ที่ หรือห้าที่ อะไรประมาณนั้น เราก็เลยจิ้มไปหนึ่งทัวร์ ราคาก็สี่ห้าร้อยนั่นแหละ หลังจากดีลเรียบร้อยแล้วก็ไปเดินเล่นดูโน่นนี่นั่นกันตลอดทาง ทุกซอกซอย พยายามหาทางลงหาด แต่... หาไม่ได้ เดินไปสุดที่โรงแรมทุกที จนยอมแพ้เดินกลับโฮสเทล ไปถามพี่พนักงานที่โฮสเทลแทน แล้วก็หาอะไรกินเล่นเพิ่มอีก แล้วก็ได้สังเกตว่าที่พักเราขายเบียร์เบลเยี่ยมเยอะมาก เพราะเจ้าของเป็นคนเบลเยี่ยม แถมพรุ่งนี้ที่พักมีงานปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนเจ้าของอีก พี่พนักงานก็ชวนเราไปจอยกับเขาด้วย เราก็โอเคๆ แล้วก็ลองสั่งเบียร์แปลกๆมากินซักอันนึง มาถึงถิ่นที่มีเบียร์เบลเยี่ยมขายแล้ว จะไม่ลองก็ผิดผีรึเปล่า(จะเกินงบเพราะแอลกอฮอล์นี่หล่ะวะ)
เบียร์ตัวนี้ชื่อว่า Kwak Beer เพราะเวลากินจะมีเสียงดัง Kwak Kwak ออกมา และต้องกินกับเบียร์ในรูปแบบเฉพาะเท่านั้นด้วย แน่นอนสิเบียร์ที่ไหนใส่แก้วแบบนี้ก็มีเสียงแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่เบียร์อันนี้นี่บอกเลยว่าแอลกอฮอล์ล่อไปแปดเปอร์เซ็น แก้วเดียวนี่กรึ่มเลยจริงๆ เป็นการกินเบียร์ที่แอบเหงา เพราะเพื่อนเป็นเด็กดีไม่ปาร์ตี้ แต่ถามว่ากินเบียร์กินเหล้าเป็นไหม ก็ต้องบอกว่าพอได้ แต่ต้องอร่อยนางถึงจะกิน เอาใจยากจริงๆเลยเพื่อนฉัน จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นในซอยโลกีย์ที่โคตรจะเงียบเหงา ทำไมมันเงียบจังเลยวะ หรือเพราะวันนี้มันพฤหัส คนยังไม่มาเที่ยวกันหรอ?? เราก็เลยถอยกลับไปดูยูทูปที่ห้องแทน(กิจกรรมน่าเบื่อชิหาย) ซึ่งไวไฟแม่มมาไม่ถึงห้อง โคตรน่าเศร้าาาา จนท้ายที่สุดเราก็ยอมแพ้แต่โดยดี นอนเถอะ พรุ่งนี้ออกเรือไปดำน้ำแต่เช้า พักผ่อนเอาแรงละกันเนอะ แน่นอนว่ากลางคืนฝนตกจ้าาา อากาศก็เลยเย็นสบายดีมาก แต่ๆๆๆ พรุ่งนี้จะดำน้ำยังไงหล่ะถ้าฝนตก
ตอนเช้าตื่นมาด้วยอากาศขมุกขมัวอย่างที่สุด อาบนำเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบชิวๆ เพราะเพื่อนปลุกเช้ามาก มนุษย์แห่งการวางแผนและเผื่อเวลา ต่างจากตูโดยสิ้นเชิง พอออกไปหาอะไรกิน ทุกร้านปิดหมด ว้อทททท??? โซนนี้เริ่มชีวิตกันกี่โมงคะ จนเจอหมูปิ้ง มายก้อดดด ของกินเพียงหนึ่งเดียวของฉ้านนนน ขณะแวะซื้อก็แอบถามแม่ค้าว่าทำไมร้านไม่เปิดกัน ก็ได้ความว่า ที่นี่เขาเปิดกันสายเก้าโมงสิบโมงโน่นแหละร้านข้าวถึงเปิด แม้แต่ที่โฮสเทลครัวก็ไม่เปิดอ่ะ พอได้ของกินเราก็มานั่งกินข้าวกันที่โฮสเทลรอรถจากทัวร์มารับ จริงๆใครมากันหลายคนเช่าเรือแยกไปคงจะมันส์กว่านะเราว่า แวะไหนก็ได้ อยู่ตรงไหนนานๆก็ได้
รอสักพักรถก็มารับเราไปท่าเรือ ซึ่งฝนเริ่มจะตกปรอยๆซะแล้ว เอาละไง อย่าตกเลยน้องสาว เดี๋ยวพี่มองใต้น้ำไม่เห็น เรือที่เราขึ้นเป็นเรือลำใหญ่จุได้ร้อยกว่าคนแหละเราว่า ไม่เคยขึ้นเรือใหญ่แบบนี้ไปดำน้ำเลยอ่ะ เคยขึ้นแต่เรือหางยาวกับสปีดโบ้ทตอนไปกระบี่ แล้วก้พบว่าเรือใหญ่ก็ดีนะ ไม่โคลงเคลงให้ปวดหัว ชวนอ้วกเหมือนตอนนั่งสปีดโบ้ทหรือเรือหางยาวเลย สปีดโบ้ทนี่ตัวดี อ้วกจะแตกตลอดเวลา เราก็เลือกขึ้นไปนั่งชั้นสอง เพราะแอบเห็นสไลเดอร์เว้ยยย นี่แหละไฮไลท์เราจะสไลเด้อลงทะเลกันฮะ เรือของเราส่วนใหญ่เป็นคนไทยทั้งนั้น มีสาวเยอรมันสามคน(ที่รู้ว่าเป็นเยอรมันเพราะเราก็พอจะฟังออกบ้าง)มานั่งฝั่งตรงข้ามเรา กับต่างชาติอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนเรือก็ต้องมีการเดินมาพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติต่างหาก หรือบางทีพี่คนเรือก็ขี้เกียจไม่แปลซะงั้นเหล่าสามสาวก็นั่งหน้าเงิบ เราก็เลยแปลให้บ้างในบางครั้งที่เราว่าเขาต้องรู้นะ
พอออกเรือมาซักพัก... แดดออกเว้ยยยย นี่คือดีใจมากที่แดดออก มาทะเลก็ต้องมาท้าแดดสิวะ จะมาหลบฝนได้ไง พอเห็นน้ำทะเลสะท้อนแดดแล้วโคตรฟิน อยากเอาตัวไปปะทะมาก พอมาถึงโซนดำน้ำโซนแรก น่าจะเกาะยักษ์เล็กยักษ์ใหญ่อะไรประมาณนั้น บอกตรงๆว่าไม่จำชื่ออะไรทั้งนั้นแหละเพราะจำไม่ได้ เราก็พาเพื่อนเราที่ไม่เคยดำน้ำมาก่อน ว่ายน้ำก็พอได้นิดหน่อย เราเลยคิดว่า เพื่อนเราคงไม่มีปัญหาอะไรกับการดำน้ำ เพราะมันมีชูชีพเว้ยแก ต่อให้ว่ายน้ำไม่เป็นมันก็ไม่จมแน่ๆ พอลงไปในน้ำเพื่อนเราตื่นตูมมาก เอามือตีน้ำขาตีน้ำแบบเล่นใหญ่ มึงอยู่เฉยๆมันก็ไม่จมหรอกกก เลยดึงมือเพื่อนพามันว่ายไปโซนที่มีปะการังให้ดู พาว่ายไปซักพักก็พามันเงยหน้าขึ้นมา มันก็พูดว่า ...
"ทำไมมึงพากูมาไกลเรือแบบนี้ มึงว่ายยังไงของมึงเนี่ย" อ้าววว ก็ตรงนี้มีปะการังอ่ะ ไม่ว่ายมาทางนี้จะเห็นอะไรวะ แล้วนี่ก็ไม่ไกลเรือขนาดนั้นซะหน่อย แต่เหมือนเพื่อนจะดูตื่นตูมไปจนคนแถวนั้นลากมันไปเกาะเชือกที่โยงมาจากเรือเอาไว้ แล้วมันก็ตกใจแบบขีดสุด กลัวทุกอย่าง ซึ่งนี่ลงน้ำมาไม่ถึงห้านาทีเลยนะ มันก็บอกว่า "พากูขึ้นเรือหน่อย กูไม่ไหวแล้ว กูปวดแขน กูเหนื่อย"
เฮ้ยยย อะไรของมันวะ แต่เราก็พาเพื่อนว่ายกลับไปที่เรือ พามันขึ้นเรือไปโดยสวัสดิภาพ แล้วเราก็ไปดำน้ำมองโลกใต้ทะเลของเราคนเดียว สนุกมากเลยอ่ะ เราชอบมากเบยนะ หลายตัวเผลอจะพุ่งลงไปหาปะการัง ลืมไปว่าใส่ชูชีพกับสน็อกเกิ้ลอยู่ ยังไงหล่ะ น้ำเข้าสน็อกเกิ้ลจะสำลักน้ำตาย ต้องรีบขึ้นมาบ้วนออก ปะการังบางส่วนอาจจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังสวยอยู่ และปลาสีรุ้ง ที่ไม่รู้ว่ามันคือปลาอะไรแต่มันน่ารักดี ตัวเป็นสีรุ้งๆเงาๆ อย่างเท่ห์
พอมาแวะเกาะที่สอง ความโง่ก็ได้เกิดขึ้น เราเอาโทรศัพท์(ที่พึ่งซื้อมายังไม่ถึงอาทิตย์เลย)ใส่ลงไปในซองกันน้ำ(เห็นคนอื่นทำ อยากทำบ้าง)และสไลด์ตัวผ่านสไล์เดอร์ลงน้ำไป ตู้มมมม ซองกูเปิดจ้าาาา อห. ลาก่อนโทรศัพท์ของฉัน ห่างกันซักพัก~~ จนกว่าจะถึงกรุงเทพฯ เราได้กลายเป็นมนุษย์ไร้โทรศัพท์ติดกายไปแล้ว(อิเพื่อนฝั่งเดินป่าก็พยายามติดต่อมา เสียใจด้วย โทรศัพท์กูบึ้มไปแล้วจ้า) ถ้ามาคนเดียวจริงๆคงชิบหายไปแล้ว ที่บ้านต้องตามหากันจ้าละหวั่นแน่ๆ แต่ดีที่เรามีเพื่อนมาด้วยก็อาศัยใบบุญโทรศัพท์ติดต่อโลกภายนอกให้ชื่นฉ่ำใจ ในเมื่อเราไม่มีโทรศัพท์ เราก็ซึมซับบรรยากาศรอบข้างได้มากขึ้น และเรารู้สึกว่าการไปกังวลกับโทรศัพท์ตอนนี้ แม่งเสียเวลาเที่ยวเกิน ตูต้องดำน้ำต่อไป แน่นอว่าก็ลงมันทุกที โดยที่ที่สามเพื่อนก็ยอมลงมาด้วยจนได้ พยายามพานางให้ดื่มด่ำกับธรรมชาติใต้น้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แน่นอนว่าเพื่อนเรานั้นนนได้ค้นพบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ "มึงๆ กูว่านะ กูว่ายน้ำไม่เป็นหว่ะ และกูกลัวน้ำมากเลย" ขอบคุณมากเพื่อนที่มึงพึ่งมารู้ตัวตอนนี้ แต่เราก็ทำเรื่องนึงสำเร็จได้นะ... เพื่อนเราติดใจการมองโลกใต้น้ำแล้วหล่ะ แต่มันมาติดใจเอาตอนเกาะสุดท้ายที่เขาแวะให้ลงไปดำน้ำ ทั้งๆที่จริงๆแล้วอิเกาะแรกคือสวยสุดละ มึงก็ช้าไปนะ
"มึงๆลากกูไปอีกได้ไหม" คือนางก็คะยั้นคะยอให้พานางว่ายน้ำไปดูปะการังตลอด แต่ปะการังมันอยู่ใกล้เรามาก จนเราไม่ไว้ใจที่จะพาเพื่อนไปตรงนั้นนานๆ กลัวมันผุดขึ้นจากน้ำแล้วเท้าไปโดนปะการังหรือว่าโดนหอยเม่นที่กะจายเต็มไปหมด ดำทะมึนมาเลย เราก็เลยพาวนไปวนมาเรื่อยๆ คนว่ายน้ำไม่เป็นไปสน็อกเกิ้ลได้นะ แต่ว่าต้องมีเพื่อนให้เกาะไปซักคนนึงก็จะโอเคเลย
หลังจากใช้เวลาสน็อกเกิ้ลจนถึงตอนเย็น ก็ได้เวลากลับขึ้นฝั่งไปพักผ่อนกันได้แล้ว แน่นอนว่าอันดับแรกก็ต้องหาข้าวกินหน่ะสิ แถมวันนี้มีปาร์ตี้ที่โฮสเทลด้วยแฮะ ทางโฮสเทลก็ตกแต่งโน่นนี่นั่น จัดบาร์ปาร์ตี้ จัดเครื่องดื่ม อุปกรณ์ดีเจ(มีการจ้างดีเจมาด้วยเว้ย) ก็ดูแปลกๆตาดี พอเข้าที่พักก็ผลัดกันไปอาบน้ำ(ที่ไหลเท่าเยี่ยวมด) ในเมื่อโทรศัพท์ไม่มีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่บังเอิญมากๆที่ทริปนี้เราพกหนังสือไปด้วย 1 เล่ม กะเอาไว้อ่านเวลาที่ว่างๆ และไม่มีอะไรทำ แล้วมันก็ไม่มีอะไรทำจริงๆเราก็เลยได้โอกาสหยิบหนังสือที่เราดองมานานแสนนานแล้ว เอามาอ่านสักที
วิธีไปเกาะช้าง ณ ปี 2017 ไม่มีแล้วรถตู้ที่อนุสาวรีย์ เพราะฉะนั้นเราก็เลยเดินทางไปที่ขนส่งเอกมัย ซึ่งอยู่ตรง BTS เอกมัยเลย นี่แหละขนส่งที่แท้ทรู เพราะอยู่ใกล้การขนส่งอื่นๆ เหมือนว่ารถตู้จะมีทุกชั่วโมงเลยนะ หรือใครสะดวกรถทัวร์ก็จองไปก่อน เพราะเราก็อยากไปรถทัวร์นะมันคงสบายกว่า ที่สำคัญคือถูกกว่า อ้อ!! เดินทางนานกว่าด้วยนะ แต่เนื่องจากไม่ได้จองล่วงหน้าไปก็เลยเต็มหมดแล้ว ค่ารถตู้กรุงเทพ-เกาะช้างอยู่ที่ 320 บาทต่อคน มีแวะพักประมาณสองจุดให้ได้เข้าห้องน้ำ ช่วงนี้รถตู้ก็ค่อนข้างตรวจเข้มมากๆ ความเร็วห้ามเกิน 100 ถ้าเกิน GPS ร้องเตือนเลยทันที ผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งก็รู้สึกปลอดภัยดีนะ แต่จะรู้สึกใจไม่ดีก็ตอนที่ลุงคนขับพูดก่อนจะออกรถว่า
"ล่าสุดมีรถตู้คันนึงหลับใน ตายคารถไปแล้ว ดีนะที่ตายแค่คนเดียว" ลุง!! มันใช่เวลาพูดเรื่องนี้ไหมเนี่ย เราคิดว่าจังหวัดตราดเนี่ย มันไม่น่าจะไกลมากนะ เลยระยองไปก็ถึงแล้วหล่ะ ที่ไหนได้ต้องผ่านจันทบุรี ซึ่งอิจังหวัดนี้เนี่ยนั่งนานมากกว่าจะผ่านมันไปได้ ก็นั่งหลับมันมาตลอดทางนั่นแหละ ปวดคอ ปวดตูด ปวดขาบ้างตามระยะเวลาการเดินทาง 4-5 ชั่วโมงแบบนี้ โดยที่มีลุงคนขับที่แกคอยเหยียบเบรคเอี๊ยด ทุกรอบที่ GPS แจ้งเตือน ค่อยๆชะลอไหมลุง เหยียบเบรคกะทันหันแบบนี้มันอันตรายโฟ้ยยยย และรถตู้ก็ปล่อยเราลงตรง ท่ารถแสนตุ้ง ซึ่งตรงนั้นเนี่ยมีรถสองแถวสีส้มจอดรอให้เราขึ้นเพื่อไปท่าเรือกันตรงนั้น แต่บรรยากาศมันชักจะแย่ลงหน่ะสิ ฝนเริ่มตกปรอยๆลงมา เราก็ภาวนาให้มันอย่าตกหนักเลย ตกปรอยๆเรายังโอเค คือยังไม่พร้อมเปียกตอนนี้ โปรดเข้าใจลูกช้างด้วยค่ะ
ตรงท่ารถแสนตุ้งเราก็ซื้อตั๋วเรือจากตรงนั้นเลย ถ้าซื้อแบบไป-กลับก็จะราคาถูกกว่าซื้อแบบรอบเดียว ซึ่ง... จำราคาไม่ค่อยแม่น ไปกลับน่าจะ 150 ถ้ารอบเดียวน่าจะ 80 บาท โดยประมาณ ซื้อตั๋วเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถสองแถวสีส้มรอเลย เราก็เลือกนั่งริมนอกสุดเลยจ้า ลงง่ายดี บนรถก็มีทั้งคนไทย คนจีน คนเกาหลี ฝรั่ง โอเคหลากหลายเชื้อชาติมากๆ รถออกไปได้ซักพักจากที่ฝนตกปรอยๆ ทุกอย่างก็ดูหนักขึ้นๆ กลายเป็นฝนตกโคตรหนัก น้ำฝนสาดกระเซ็น จนต้องเอาผ้าใบด้านข้างรอออกมา ฝรั่งฝั่งตรงข้ามก็ตื่นเต้นกันมาก มีความยกโทสับมาถ่ายรูป ส่วนอิคนไทยทางนี้ อยากจะกรี๊ดดด ตกเห้ไรตอนนี้ฟะ ไม่พร้อมเปียกเด้อออ แต่ผ่านไปพักเดียว ฝนหยุดตก แดดออกแรงมาก เดี๋ยวนะ..... ความผันผวนทางสภาพอากาศนี้คืออะไรกันเนี่ย เข้าใจยากกว่าผู้หญิงตอนเป็นเมนส์ซะอีก
ขณะที่นั่งบนรถเนี่ย พ่อหนุ่มฝรั่งฝั่งตรงข้ามก็เหมือนจะแอบมองหน้าเรา สาบานได้นี่ไม่ได้คิดไปเอง คือเรามองข้างนอกตลอด แต่พอหันไปมองฝั่งตรงข้ามต้องสบตากับเขาทุกที พอสบตาปุ๊บพ่อหนุ่มฝรั่งก็เบนสายตาไปที่อื่นทำเหมือนไม่ได้มองเรา คือเป็นแบบนี้ตลอดทางอ่ะ จนแบบ.. ยังไงหล่ะ ถ้ามึงไม่มากับเมียนี่กูคิดว่ามึงปิ๊งกูละนะ คือมีสองอย่างที่คนจะมองเราได้ หนึ่งคือสวย สองคือแปลก สงสัยจะเป็นข้อหลัง... แป่วววว แต่เราก็ไม่ถือสาหรอก จนหลังๆพอสบตากันเราก็ยิ้มให้แทนแล้วกัน เพื่อโชว์ว่า เรามาด้วยความเป็นมิตรนะท่าน
จนเดินทางมาถึงท่าเรือ มนุษย์สัมภาระหนักเช่นเราก็แบกกระเป๋าไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ สภาพโดยทั่วไปของเฟอร์รี่ก็คือด้านล่างให้รถเข้ามาจอด ด้านบนมีที่ให้คนนั่งซึ่งเป็นลักษณะที่นั่งไม้แง่งๆแค่นั้นแหละไม่มีเบาะนิ่มอะไรทั้งนั้น พัดลมหรอ ฝันไปเถอะ อากาศฝนตกเหนียวตัวแบบนี้ ชะโงกหน้าไปรับลมที่หน้าต่างซะเถอะ แต่แค่ได้มองเห็นทะเล และเกาะช้างที่อยู่ไม่ไกลจากเรา ก็ตื่นเต้นแล้วอ่ะ ได้เจอทะเลแล้วโว้ยยย แม้ท้องฟ้าจะดูทะมึนๆ ดำๆนิดนึง แต่สีน้ำทะเลก็เป็นสีมรกตสวยดีนะ สีน้ำทะเลไม่เหมือนภาคใต้เลย ที่นี่สีน้ำทะเลเป็นสีเข้ม มันเป็นสีน้ำเงินปนเขียวอ่ะ และมีการไล่สีด้วย น่ารักโคตรๆ นั่งไปได้ซักพัก ก็มีพี่ผู้หญิงคนนึงถามเราว่า "เรือมันเร็วขึ้นรึเปล่าค่ะ เมื่อก่อนเคยมามันต้องนั่งเรือนานกว่านี้"
พวกเราก็ไม่รู้จะตอบยังไง "พวกหนูมากันครั้งแรกค่ะพี่"
"อ้าวหรอ!! ฮ่าๆๆๆ เมื่อก่อนที่พี่เคยมามันนั่งเรือนานเกือบชั่วโมงเลยนะ แต่นี่แค่แปปเดียวเองจะถึงแล้ว" ก็เลยบอกพี่เขาไปแหละว่ามันมีสองท่าเรือ เราคงมาอีกท่าเรือนึงแหละมั้ง มันก็เลยไวกว่า แล้วเราก็คุยกับพี่เขาจนได้ความว่า พี่เขาชื่อหญิง มาเที่ยวคนเดียว อยู่เกือบอาทิตย์แหนะ พี่เขาบอกว่า เคยมาเกาะช้างหลายรอบแล้ว นี่พักร้อนจากงานก็เลยมาที่ไทย ปกติพี่แกทำงานที่สวิตเซอร์แลนด์เพราะมีแฟนเป็นคนเยอรมัน ก็เลยไปใช้ชีวิตที่โน่น พอถามกันเรื่องที่พักก็พบว่า เราพักที่ lonely beach เหมือนกันเลย ก็เลยตัดสินใจนั่งรถต่อไปด้วยกัน
"พี่นึกว่าพวกน้องจะพักกันที่หาดทรายขาวซะอีก เพราะคนไทยไปพักที่นั่นกันเยอะ" เราก็พึ่งรู้แหละว่า คนไทยส่วนใหญ่พักหาดทรายขาวกัน แต่ไม่แคร์เด้อ เพราะที่ lonely beach มีซอยโลกีย์อยู่ ก็เลยเลือกไปพักใกล้ๆเวลาเมาจะได้เดินกลับได้ชิวๆ แต่เส้นทางจากท่าเรือไป lonely beach นี่มันโคตรรรรรรรจะไกลเลย นั่งรถสองแถวนานมาก มีพี่ชาวไทยสองคนคงเป็นแฟนกัน ถามเราว่าเราพักที่ไหนเพราะเขายังไม่ได้จองที่พัก เราก็บอกว่า lonely beach พี่แกก็ตอบมาว่า หาดทรายขาว? เราก็บอกว่า lonely beach พี่แกก็ตอบมาว่า หาดทรายขาว? จนแบบนี่เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอวะ?? งงไปอีกกก ก็เลยช่างแม่งไปค่ะ แล้วแต่พี่จะคิดละกัน แต่ละคนก็ทยอยลงไปๆเรื่อยๆ จนเหลือแค่เรา เพื่อนเรา และพี่หญิง เหงาๆสามคนบนสองแถว ร้อยนึงนั่งซะคุ้มเลย ยาวมากกก และเส้นทางตอนไปโลนลี่บีชคือโหดสัสรัสเซีย ทางเป็นโค้งขึ้นเขารูปตัวเอส ผ่านทางนั้นทีไรใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกที จนบอกเพื่อนเลยว่า ลืมเรื่องการเช่ามอเตอร์ไซด์มาขับได้เลยนะ มึงดูทาง!!! ต่อให้ขับเป็นกูก็ไม่ขับ!! ขนาดนั่งบนสองแถวตัวยังจะปลิวไปตามแรงโค้ง
ในที่สุดสองแถวก็มาส่งเราที่โฮสเทลได้อย่างปลอดภัย ที่พักพี่หญิงก็อยู่ถัดจากเราไปนิดเดียวเอง เพราะโลนลี่บีชมี community ที่โคตรสั้น มีร้านขายของครบทุกอย่างเลยนะ แต่ว่ามีซอยอยู่แค่สี่ซอยเองมั้ง สองซอยเป็นซอยโลกีย์ ส่วนที่เหลือก็เป็นซอยเดินเข้าไปที่โรงแรมที่ติดหาด ที่พักเรานั้น ป่าดงพงไพรมาก จนเพื่อนถึงกับพูดว่า คราวหลังไม่นอนที่นี่นะเว้ย ด้วยความที่ห้องพักเราไม่มีแอร์ มีพัดลมโง่ๆ กับห้องติดมุ้งลวด เพราะงั้นอากาศก็เลยอบๆ กลิ่นก็เลยอับๆ น้ำก็ไหลอย่างกะเยี่ยวมด อาบน้ำกันทีนานมากกว่าจะอาบกันเสร็จ ที่พักเราไม่มีคนไทยเลย ฝรั่งล้วน มีแต่พี่พนักงานนี่แหละที่เป็นคนไทยแล้วก็แอบบอกเราว่า คนไทยที่จองที่นี่ชอบเบี้ยวไม่มาพักทุกที แต่เรามาค่ะพี่ มาถึงจุดนี้แล้ว เราจะนอนที่นี่แหละค่ะ เพราะมันราคาถูกดีเลยค่ะ
หลังจากเช็คอินกันแล้ว เราก็ขอแอบไปนั่งกินข้าวกันซะหน่อย ก่อนจะเดินหาทัวร์ดำน้ำในวันพรุ่งนี้ และก็พบว่า ทัวร์ดำน้ำแม่มมีรูทเดียว บางบ.ต่างกันแค่ว่าหยุดให้ดำสี่ที่ หรือห้าที่ อะไรประมาณนั้น เราก็เลยจิ้มไปหนึ่งทัวร์ ราคาก็สี่ห้าร้อยนั่นแหละ หลังจากดีลเรียบร้อยแล้วก็ไปเดินเล่นดูโน่นนี่นั่นกันตลอดทาง ทุกซอกซอย พยายามหาทางลงหาด แต่... หาไม่ได้ เดินไปสุดที่โรงแรมทุกที จนยอมแพ้เดินกลับโฮสเทล ไปถามพี่พนักงานที่โฮสเทลแทน แล้วก็หาอะไรกินเล่นเพิ่มอีก แล้วก็ได้สังเกตว่าที่พักเราขายเบียร์เบลเยี่ยมเยอะมาก เพราะเจ้าของเป็นคนเบลเยี่ยม แถมพรุ่งนี้ที่พักมีงานปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนเจ้าของอีก พี่พนักงานก็ชวนเราไปจอยกับเขาด้วย เราก็โอเคๆ แล้วก็ลองสั่งเบียร์แปลกๆมากินซักอันนึง มาถึงถิ่นที่มีเบียร์เบลเยี่ยมขายแล้ว จะไม่ลองก็ผิดผีรึเปล่า(จะเกินงบเพราะแอลกอฮอล์นี่หล่ะวะ)
เบียร์ตัวนี้ชื่อว่า Kwak Beer เพราะเวลากินจะมีเสียงดัง Kwak Kwak ออกมา และต้องกินกับเบียร์ในรูปแบบเฉพาะเท่านั้นด้วย แน่นอนสิเบียร์ที่ไหนใส่แก้วแบบนี้ก็มีเสียงแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่เบียร์อันนี้นี่บอกเลยว่าแอลกอฮอล์ล่อไปแปดเปอร์เซ็น แก้วเดียวนี่กรึ่มเลยจริงๆ เป็นการกินเบียร์ที่แอบเหงา เพราะเพื่อนเป็นเด็กดีไม่ปาร์ตี้ แต่ถามว่ากินเบียร์กินเหล้าเป็นไหม ก็ต้องบอกว่าพอได้ แต่ต้องอร่อยนางถึงจะกิน เอาใจยากจริงๆเลยเพื่อนฉัน จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นในซอยโลกีย์ที่โคตรจะเงียบเหงา ทำไมมันเงียบจังเลยวะ หรือเพราะวันนี้มันพฤหัส คนยังไม่มาเที่ยวกันหรอ?? เราก็เลยถอยกลับไปดูยูทูปที่ห้องแทน(กิจกรรมน่าเบื่อชิหาย) ซึ่งไวไฟแม่มมาไม่ถึงห้อง โคตรน่าเศร้าาาา จนท้ายที่สุดเราก็ยอมแพ้แต่โดยดี นอนเถอะ พรุ่งนี้ออกเรือไปดำน้ำแต่เช้า พักผ่อนเอาแรงละกันเนอะ แน่นอนว่ากลางคืนฝนตกจ้าาา อากาศก็เลยเย็นสบายดีมาก แต่ๆๆๆ พรุ่งนี้จะดำน้ำยังไงหล่ะถ้าฝนตก
ตอนเช้าตื่นมาด้วยอากาศขมุกขมัวอย่างที่สุด อาบนำเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบชิวๆ เพราะเพื่อนปลุกเช้ามาก มนุษย์แห่งการวางแผนและเผื่อเวลา ต่างจากตูโดยสิ้นเชิง พอออกไปหาอะไรกิน ทุกร้านปิดหมด ว้อทททท??? โซนนี้เริ่มชีวิตกันกี่โมงคะ จนเจอหมูปิ้ง มายก้อดดด ของกินเพียงหนึ่งเดียวของฉ้านนนน ขณะแวะซื้อก็แอบถามแม่ค้าว่าทำไมร้านไม่เปิดกัน ก็ได้ความว่า ที่นี่เขาเปิดกันสายเก้าโมงสิบโมงโน่นแหละร้านข้าวถึงเปิด แม้แต่ที่โฮสเทลครัวก็ไม่เปิดอ่ะ พอได้ของกินเราก็มานั่งกินข้าวกันที่โฮสเทลรอรถจากทัวร์มารับ จริงๆใครมากันหลายคนเช่าเรือแยกไปคงจะมันส์กว่านะเราว่า แวะไหนก็ได้ อยู่ตรงไหนนานๆก็ได้
รอสักพักรถก็มารับเราไปท่าเรือ ซึ่งฝนเริ่มจะตกปรอยๆซะแล้ว เอาละไง อย่าตกเลยน้องสาว เดี๋ยวพี่มองใต้น้ำไม่เห็น เรือที่เราขึ้นเป็นเรือลำใหญ่จุได้ร้อยกว่าคนแหละเราว่า ไม่เคยขึ้นเรือใหญ่แบบนี้ไปดำน้ำเลยอ่ะ เคยขึ้นแต่เรือหางยาวกับสปีดโบ้ทตอนไปกระบี่ แล้วก้พบว่าเรือใหญ่ก็ดีนะ ไม่โคลงเคลงให้ปวดหัว ชวนอ้วกเหมือนตอนนั่งสปีดโบ้ทหรือเรือหางยาวเลย สปีดโบ้ทนี่ตัวดี อ้วกจะแตกตลอดเวลา เราก็เลือกขึ้นไปนั่งชั้นสอง เพราะแอบเห็นสไลเดอร์เว้ยยย นี่แหละไฮไลท์เราจะสไลเด้อลงทะเลกันฮะ เรือของเราส่วนใหญ่เป็นคนไทยทั้งนั้น มีสาวเยอรมันสามคน(ที่รู้ว่าเป็นเยอรมันเพราะเราก็พอจะฟังออกบ้าง)มานั่งฝั่งตรงข้ามเรา กับต่างชาติอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนเรือก็ต้องมีการเดินมาพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติต่างหาก หรือบางทีพี่คนเรือก็ขี้เกียจไม่แปลซะงั้นเหล่าสามสาวก็นั่งหน้าเงิบ เราก็เลยแปลให้บ้างในบางครั้งที่เราว่าเขาต้องรู้นะ
พอออกเรือมาซักพัก... แดดออกเว้ยยยย นี่คือดีใจมากที่แดดออก มาทะเลก็ต้องมาท้าแดดสิวะ จะมาหลบฝนได้ไง พอเห็นน้ำทะเลสะท้อนแดดแล้วโคตรฟิน อยากเอาตัวไปปะทะมาก พอมาถึงโซนดำน้ำโซนแรก น่าจะเกาะยักษ์เล็กยักษ์ใหญ่อะไรประมาณนั้น บอกตรงๆว่าไม่จำชื่ออะไรทั้งนั้นแหละเพราะจำไม่ได้ เราก็พาเพื่อนเราที่ไม่เคยดำน้ำมาก่อน ว่ายน้ำก็พอได้นิดหน่อย เราเลยคิดว่า เพื่อนเราคงไม่มีปัญหาอะไรกับการดำน้ำ เพราะมันมีชูชีพเว้ยแก ต่อให้ว่ายน้ำไม่เป็นมันก็ไม่จมแน่ๆ พอลงไปในน้ำเพื่อนเราตื่นตูมมาก เอามือตีน้ำขาตีน้ำแบบเล่นใหญ่ มึงอยู่เฉยๆมันก็ไม่จมหรอกกก เลยดึงมือเพื่อนพามันว่ายไปโซนที่มีปะการังให้ดู พาว่ายไปซักพักก็พามันเงยหน้าขึ้นมา มันก็พูดว่า ...
"ทำไมมึงพากูมาไกลเรือแบบนี้ มึงว่ายยังไงของมึงเนี่ย" อ้าววว ก็ตรงนี้มีปะการังอ่ะ ไม่ว่ายมาทางนี้จะเห็นอะไรวะ แล้วนี่ก็ไม่ไกลเรือขนาดนั้นซะหน่อย แต่เหมือนเพื่อนจะดูตื่นตูมไปจนคนแถวนั้นลากมันไปเกาะเชือกที่โยงมาจากเรือเอาไว้ แล้วมันก็ตกใจแบบขีดสุด กลัวทุกอย่าง ซึ่งนี่ลงน้ำมาไม่ถึงห้านาทีเลยนะ มันก็บอกว่า "พากูขึ้นเรือหน่อย กูไม่ไหวแล้ว กูปวดแขน กูเหนื่อย"
เฮ้ยยย อะไรของมันวะ แต่เราก็พาเพื่อนว่ายกลับไปที่เรือ พามันขึ้นเรือไปโดยสวัสดิภาพ แล้วเราก็ไปดำน้ำมองโลกใต้ทะเลของเราคนเดียว สนุกมากเลยอ่ะ เราชอบมากเบยนะ หลายตัวเผลอจะพุ่งลงไปหาปะการัง ลืมไปว่าใส่ชูชีพกับสน็อกเกิ้ลอยู่ ยังไงหล่ะ น้ำเข้าสน็อกเกิ้ลจะสำลักน้ำตาย ต้องรีบขึ้นมาบ้วนออก ปะการังบางส่วนอาจจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังสวยอยู่ และปลาสีรุ้ง ที่ไม่รู้ว่ามันคือปลาอะไรแต่มันน่ารักดี ตัวเป็นสีรุ้งๆเงาๆ อย่างเท่ห์
พอมาแวะเกาะที่สอง ความโง่ก็ได้เกิดขึ้น เราเอาโทรศัพท์(ที่พึ่งซื้อมายังไม่ถึงอาทิตย์เลย)ใส่ลงไปในซองกันน้ำ(เห็นคนอื่นทำ อยากทำบ้าง)และสไลด์ตัวผ่านสไล์เดอร์ลงน้ำไป ตู้มมมม ซองกูเปิดจ้าาาา อห. ลาก่อนโทรศัพท์ของฉัน ห่างกันซักพัก~~ จนกว่าจะถึงกรุงเทพฯ เราได้กลายเป็นมนุษย์ไร้โทรศัพท์ติดกายไปแล้ว(อิเพื่อนฝั่งเดินป่าก็พยายามติดต่อมา เสียใจด้วย โทรศัพท์กูบึ้มไปแล้วจ้า) ถ้ามาคนเดียวจริงๆคงชิบหายไปแล้ว ที่บ้านต้องตามหากันจ้าละหวั่นแน่ๆ แต่ดีที่เรามีเพื่อนมาด้วยก็อาศัยใบบุญโทรศัพท์ติดต่อโลกภายนอกให้ชื่นฉ่ำใจ ในเมื่อเราไม่มีโทรศัพท์ เราก็ซึมซับบรรยากาศรอบข้างได้มากขึ้น และเรารู้สึกว่าการไปกังวลกับโทรศัพท์ตอนนี้ แม่งเสียเวลาเที่ยวเกิน ตูต้องดำน้ำต่อไป แน่นอว่าก็ลงมันทุกที โดยที่ที่สามเพื่อนก็ยอมลงมาด้วยจนได้ พยายามพานางให้ดื่มด่ำกับธรรมชาติใต้น้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แน่นอนว่าเพื่อนเรานั้นนนได้ค้นพบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ "มึงๆ กูว่านะ กูว่ายน้ำไม่เป็นหว่ะ และกูกลัวน้ำมากเลย" ขอบคุณมากเพื่อนที่มึงพึ่งมารู้ตัวตอนนี้ แต่เราก็ทำเรื่องนึงสำเร็จได้นะ... เพื่อนเราติดใจการมองโลกใต้น้ำแล้วหล่ะ แต่มันมาติดใจเอาตอนเกาะสุดท้ายที่เขาแวะให้ลงไปดำน้ำ ทั้งๆที่จริงๆแล้วอิเกาะแรกคือสวยสุดละ มึงก็ช้าไปนะ
"มึงๆลากกูไปอีกได้ไหม" คือนางก็คะยั้นคะยอให้พานางว่ายน้ำไปดูปะการังตลอด แต่ปะการังมันอยู่ใกล้เรามาก จนเราไม่ไว้ใจที่จะพาเพื่อนไปตรงนั้นนานๆ กลัวมันผุดขึ้นจากน้ำแล้วเท้าไปโดนปะการังหรือว่าโดนหอยเม่นที่กะจายเต็มไปหมด ดำทะมึนมาเลย เราก็เลยพาวนไปวนมาเรื่อยๆ คนว่ายน้ำไม่เป็นไปสน็อกเกิ้ลได้นะ แต่ว่าต้องมีเพื่อนให้เกาะไปซักคนนึงก็จะโอเคเลย
หลังจากใช้เวลาสน็อกเกิ้ลจนถึงตอนเย็น ก็ได้เวลากลับขึ้นฝั่งไปพักผ่อนกันได้แล้ว แน่นอนว่าอันดับแรกก็ต้องหาข้าวกินหน่ะสิ แถมวันนี้มีปาร์ตี้ที่โฮสเทลด้วยแฮะ ทางโฮสเทลก็ตกแต่งโน่นนี่นั่น จัดบาร์ปาร์ตี้ จัดเครื่องดื่ม อุปกรณ์ดีเจ(มีการจ้างดีเจมาด้วยเว้ย) ก็ดูแปลกๆตาดี พอเข้าที่พักก็ผลัดกันไปอาบน้ำ(ที่ไหลเท่าเยี่ยวมด) ในเมื่อโทรศัพท์ไม่มีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่บังเอิญมากๆที่ทริปนี้เราพกหนังสือไปด้วย 1 เล่ม กะเอาไว้อ่านเวลาที่ว่างๆ และไม่มีอะไรทำ แล้วมันก็ไม่มีอะไรทำจริงๆเราก็เลยได้โอกาสหยิบหนังสือที่เราดองมานานแสนนานแล้ว เอามาอ่านสักที
เสียงดนตรีด้านนอกเริ่มดังขึ้นๆ เป็นการบอกให้รู้ว่างานปาร์ตี้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่เพลงที่เปิดอยู่มันไม่เร้าใจเรา มันไม่ใช่ทางจริงๆ เล่นเพลงยุค 80 ใช่ไหมบอกที ตอนนี้เวลาก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้วคิดว่าก็เป็นเวลาดีนะที่จะต้องออกไปเดินในซอยโลกีย์นั่นอีก อย่างน้อยซักเมา 2 เมาแล้วกลับที่พักก็ยังดี เข้าไปในซอยได้เรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็เห็นร้านนึงที่เวลาที่เวลานั้นโคตรร้าง เอาจริงๆร้างทุกร้านเลยแหละ แต่ที่เราสนใจเพราะว่าดนตรีไลฟ์สดดีงามมากเล่นเพลงที่ถูกใจเรา เราก็เลยบอกเพื่อนว่า "กูขอแวะเข้าไปหน่อยนึงนะ" ในร้านมีคนนั่งอยู่แค่ไม่กี่คน เราก็ไม่ได้สนใจคิดซะว่าเข้าไปนั่งฟังเพลงเพลินๆ
แต่พอฟังเพลงไปเรื่อยๆเวลาผ่านไปเรื่อยๆคนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดคนก็เต็มร้านซะอย่างงั้นแล้วเราก็ได้ค้นพบความจริงอีกอย่างจากเพื่อนตัวเอง
"สั่งเบียร์มากินหน่อยไหม"
"กูไม่ค่อยกินอ่ะมึงมันไม่ค่อยอร่อย"
"กินเบียร์ผลไม้ไหมล่ะ"
"ก็ได้นะ แต่กูไม่ชอบกินเปรี้ยว สตอเบอรี่กูก็ไม่ชอบ ส้มรสชาติก็ดูไม่เวิร์ค" ไม่เหลืออะไรให้มึงแดกละ
"งั้นกิน Vodka ไหมผสมสไปรท์กับมะนาวอร่อยนะ"
"บอกแล้วไงว่าไม่ชอบกินเปรี้ยว"
"…" ไร้วาจาจะกล่าวเลยจ่ะ แล้วนางก็มองเมนูไปซักพัก ก่อนจะ..
"มีเหล้าขายด้วยหรอ งั้นขอแบบผสมโค้กแก้วนึง"
"..." สรุปคือไม่แดกเบียร์ ไม่แดกวอดก้า แต่แดกเหล้า..ที่รสชาติเหี้ยอีกต่างหาก
อยู่กันจนเมาแบบกรุบกริบ(เมาคนเดียวด้วย โคตรเท่ห์ - -) เต้นแบบเบาๆชิคๆ คุยกับคุณป้าชาวสวีเดนโต๊ะข้างๆ ก็สนุกๆกันไป เพื่อนก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
"มึง... ทำไมเขามีบัตรอะไรไปแลกเหล้าฟรีด้วยวะ" เราก็พยายามสังเกต เฮ้ยยยย จริงด้วย มิน่าคนแน่นร้านเชียว มันคือบัตรอะไรวะ ด้วยความที่ตีซี้เบาๆกับสาวสวยพนักงานเสิร์ฟหน้าตาฝรั่งจ๋าไว้แล้ว เราก็เรียกนางมาถามเลยจ้า นางก็เลยยื่นคูแองมาให้บอกว่า เอาไปแลกเครื่องดื่มฟรีได้ ก็จัดสิจ๊ะ รออะไร จากที่เมาแบบกรุบกริบ ก็เรียกได้ว่าบ้านหมุนพอประมาณเลยทีเดียว
วันที่สามของทริป วันนี้บอกเลยว่าเราจะปล่อยชิลกันมากๆ แม้เพื่อนจะอยากให้เช่ารถตู้เที่ยว แต่เราว่ามันดูเป็นเร่งรีบทัวร์เกินไป ผิดคอนเซปชิลในครั้งนี้ก็เลยบอกเพื่อนว่า เรานั่งรถสองแถวไปเที่ยวน้ำตกที่ใกล้ที่สุดละกัน วิธีการไป ง่ายมากค่ะ เรียกรถสองแถวบอกว่า ลุงไปน้ำตกที่ใกล้ที่สุด ที่ไหนก็ได้ ลุงก็ตอบตกลงแบบไม่บิดพลิ้ว ค่ารถก็เหมือนเดิมค่ะ คนละ 100 บาท ระหว่างทางลุงก็รับคน แวะส่งคนไปตลอดทาง เราก็ไม่รับนะ เรื่อยๆเลยลุง สบายๆ แล้วก็ได้สังเกตว่าคนเยอรมันอยู่เยอะมากเลยแฮะ เพราะได้ยินเขาพูดเยอรมันกันตลอดทาง ทั้งเวอร์ชั่นนักท่องเที่ยว และเวอร์ชั่นมาปักหลักอาศัยอยู่ที่นี่เลย
พอมาถึงน้ำตก ลุงก็บอกว่าเดี๋ยวลุงรอรับกลับละกันนะ พวกเราเลยขอเบอร์ลุงไว้กันเหนียว เผื่อลุงหายไปแล้วเดี๋ยวจะหาทางกลับไม่ได้ แล้วเราก็หายไปอยู่กับน้ำตกโคตรจะหลายชั่วโมงจนลุงคงไม่น่าจะรอ และก็คงไม่คิดว่าเราจะไปเล่นน้ำตกนานขนาดนั้นด้วยแหละ แต่ไม่ต้องกังวลไปด้านหน้ามีรถสองแถวจอดรออยู่เต็มไปหมด
น้ำตกที่เราไปชื่อ น้ำตกคลองพลู ก็มีการจ่ายค่าเข้าอุทยานนิดหน่อย ก่อนที่จะมีเส้นทางธรรมชาติให้เราเดินขึ้นไปหาน้ำตกด้านบน ขณะเดินเนี่ยก็มีลำธารเล็ฏๆไปตลอดเส้นทางเลย รองเท้าเราแม่งก็ลื่นพอประมาณ ต้องขอบคุณที่วันนี้ฝนไม่ตก เพราะตกกลางคืนแบบหนักมากไปแล้ว ก็เดินป่าไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีได้อยู่นะ ก็เดินไปเจอน้ำตกแล้วในที่สุด ทีแรกก็ลังเลมากว่า เราจะลงไปเล่นน้ำตกดีไหมวะแก คือในน้ำตกมีปลาเป็นร้อยตัว ทำเอาไม่กล้าลงไปเลย แต่ก็มีเด็กๆ ผู้ใหญ่หรือฝรั่งลงไปเล่นกันเต็มไปหมด ก็เลยตัดสินใจว่า เอาเท้าจุ่มให้ปลาตอดๆกันไหม เพราะน้ำตกมันเย็นมากเลย ต้องเอาตัวไปโดนหน่อย
แต่พอตัดสินใจเดินลงไปเอาเท้าแช่น้ำเท่านั้นแหละ น้ำตกนี้มันไม่ตื้นนี่หว่า ฮวบ!!! ยันเอวเลยจ้า มาถึงขั้นนี้แล้วก็ลงไปเล่นมันทั้งตัวเลยเหอะ จบๆไป แน่นอว่าลงไปปุ๊บ ปลาก็ว่ายมาตอดกันบุยยับ จั๊กจี๋ไปหมด แต่น้ำมันเย็นสบายมากๆ แล้วรอบด้านก็มีก้อนหิน มีต้นไม้ ฟินจริงๆ เราก็ว่ายน้ำไปมา มือวาดไปก็โดนตัวปลาบ้างในบางครา ก็หยึยๆดีนะ เล่นจนหนำใจก็เปลี่ยนทิศทาง ปีนขึ้นไปบนผาตรงน้ำตกบ้างดีกว่า คนอยากปีนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนเราเองนี่แหละ มึงจะมาอยากแอดเวนเจอร์อะไรตอนนี้วะ แต่ก็โอเคลำบากนิดหน่อย พอเดินได้
พอปีนขึ้นไปจนถึงหน้าผา มันสวยมากเลยแก ก็เลยขอยืมมือถือเพื่อนมาถ่ายรูปหน่อย แต่อิเพื่อนก็นั่งไม่ยอมยืนขึ้นมา
"เป็นไรวะมึง"
"มึง... กูพึ่งรู้ตัวอีกอย่าง กูกลัวความสูง กูจะเป็นลมแล้วเนี่ย"
อ้าว!! เฮ้ย !! เดี๋ยวดิวะ มึงชวนกุขึ้นมาเองนะ แล้วมึงจะมาทำหน้าซีดแบบนี้ไม่ได้
"มึง..ลงเหอะ กูอยากลงละ"
"เดี๋ยวดิ พึ่งขึ้นมาเอง ทางไม่แคบซักหน่อย ไม่ตกหรอก" คือทางมันไปแคบเลยเว้ยแก มีแก๊งนึงคือขึ้นมานั่งปี๊กนิคกินข้าวกันตรงนี้อยู่เลย แต่อยู่ชมวิวซักแปปก็ปีนลงไปเล่นน้ำตกใหม่อีกรอบ เป็นการล้างเนื้อล้างตัว หลังจากปีนเขา นอนอ่านหนังสือเล่นมาซักพักนานๆเลย ไหนจะแอบดูฝรั่งเปลี่ยนชุดว่ายน้ำอีก(มาคิดๆดูแล้วโคตรดูโรคจิต ทำไมเราต้องไม่มีอะไรทำขนาดไปมองเขาเปลี่ยนชุดวะ 5555)
หลังจากชุ่มฉ่ำกับน้ำตกจนไม่ไหวแล้ว ก็บอกให้ลุงสองแถวไปส่งที่ทางลงหาดให้หน่อย อยากเดินไปเล่นน้ำทะเลซะหน่อย จริงๆคืออยากดูพระอาทิตย์ตกนั่นแหละ เลยมามองหาโลเกชั่นไว้ก่อน แต่ใครจะไปคิดหล่ะว่า หาดมันจยาวขนาดนี้ นี่เลยต้องเดินฝ่าแดดกลับที่พักไปแบบทรมาณร่างกายแบบสุดๆ จากตัวเปียกจนตัวจะแห้ง เลยแวะกินขนม กินน้ำปั่นกันซักหน่อย ทั้งเปียกๆนี่แหละ เพราะถ้ากลับที่พักอากาศน่าจะร้อนมากอะไรมาก แอร์ก็ไม่มี พัดลมก็ไม่เย็น น้ำก็ไหลน้อย พอนั่งพักกินน้ำกินขนมกันแล้วก็กลับที่พักไปนอนเล่น รอเย็นๆออกมารอดูพระอาทิตย์กันจ้า
จังหวะรอพระอาทิตย์ตก ก็รอลุ้นไปด้วยว่าฝนจะตกไหม เพราะลมก็แรง ฟ้าก็เริ่มครึ้มๆ แล้วด้วยความที่ไม่สามารถหาที่นั่งได้จริงๆ ก็เลยลงไปเล่นน้ำทะเลที่โคตรจะตื้นมันซะเลย ตื้นจริงๆนะ คือต้องเดินไปไกลมากกว่ามันจะลึกอ่ะ และที่สำคัญ น้ำมึงร้อนมาก ต่างจากน้ำที่น้ำตกลิบลับ นี่สินะ ทะเลกลางแดดที่แท้จริง เล่นทะเลจนตัวเปื่อยก็เลยเดินขึ้นหาดมาหาที่นั่ง ก็ตัดสินใจสั่งเบียร์มากินซักขวด เพื่อจะได้นั่งที่หน้าร้านเขารอดูพระอาทิตย์ตกซะเลย แต่ว่าก็มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน พอเราไปนั่งก็เลยเริ่มบทสนทนากับคนไม่รู้จักเพิ่มขึ้นอีก 1 คนเป็นหนุ่มชาวอังกฤษ เรื่องที่คุยกันแม่มก็โคตรจะมีสาระ ไหนจะเรื่องหนังสือ เรื่องที่ท่องเที่ยว บลาๆๆๆ ก็คุยได้เรื่อยๆแหละ จนมาจบที่ คืนนี้มีปาร์ตี้ริมหาดนะ มาสิ น่าจะสนุกดี ไว้เจอกัน ก่อนจะลาจากไป พร้อมๆกับที่เรานั่งรอพระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ท้องฟ้าที่คอนๆเปลี่ยนสี จากท้องฟ้าสีขาวจ้าก็เริ่มๆทอแสงลงเป็นสีเหลือง สีส้ม สีชมพูอมฟ้า สีม่วง และในที่สุดก็เริ่มมืด ชอบโทนสีในช่วงเวลานี้ของท้องฟ้าที่สุดแล้ว การมองพระอาทิตย์ริมทะเล ทำให้เราได้เห็นมันค่อยๆลงไปแบบที่ไม่มีอะไรมากั้นจริงๆ
แน่นอนว่ามีคนมาชวนปาร์ตี้แบบนี้ไอ้เราก็ของขึ้นเลย หมายมั่นปั้นมือว่าคืนนี้เราจะกลับมาที่หาด!! แต่เพื่อนเราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะ
"มึง มันดึกแล้ว มันอันตราย มันน่ากลัวนะเว้ย แล้วมึงจะกลับยังไง ตรงนี้ก็ไกลจากที่พักนะเว้ย ไปที่เดิมเหอะ ใกล้ที่พักเรามากกว่า" สารพัดสารเพความเป็นห่วงจากเพื่อน ที่ไม่อยากให้เราเดินมามืดๆ อันตรายๆตรงหาด เราก็เลยตอบเพื่อนไปด้วยใจมาดมั่น
"มึง...กูมาคนเดียวก็ได้นะ" หาได้สนใจเสียงทัดทานจากเพื่อนไม่(เด็กเวรที่แท้จริง)
"กูจะปล่อยให้มึงไปคนเดียวได้ไงหล่ะโว้ยยย" จนในที่สุดเพื่อนก็ต้องยอมคล้อยตามไปก่อน จนกระทั่ง...
ขณะที่นั่งกินข้าวกันอยู่ หลังจากที่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็มีพี่ผู้ชายซักคนนึงเดินมา และยื่นบัตรของร้านเมื่อคืนที่เราไปมา(ร้าน Himmel) เป็นบัตรปาร์ตี้บาร์บีคิวและแน่นอนว่าไปรับเหล้าฟรีหนึ่งถังด้วยจ้า ก่อนจะพูดว่า...
"เห็นเมื่อคืนไปเต้นกันอยู่ที่ร้านนี้อ่ะ เผื่อคืนนี้จะไปอีก เลยเอามาให้" แล้วก็จากไปพร้อมกับสายตาห้ำหั่นจากเพื่อนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามกันนี้เอง
ภาพตัดไปที่เมื่อคืน...
"โอ้ยมึงงงง อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ เขาจำเราไม่ได้หรอก นี่มันมืดจะตาย แถมแต่ละคนก็กรึ่มๆกันทั้งนั้น เขาไม่สนใจเราหรอก สภาพจืดๆอย่างเราไม่น่าจดจำเลยมึง"
"ไหนมึงบอกว่า จะไม่มีใครจำเราได้ไงหล่ะ อิแอมมมมมมมม!!!" กรี๊ดดดด เพื่อนเกรี้ยวกราด
"เฮ้ยยยย มึง เอาน่าาา เขาเจอเราครั้งเดียวไหมหล่ะ พรุ่งนี้เขาก็ไม่เจอเราแล้ว ... แม่งจำกูได้ไงวะ!!" ทำไมถึงต้องมาจำกันได้ด้วยพี่ คือจริงๆเราก็เข้าใจนะว่าทำไมจำกันได้ คนอยู่ที่หาดนั้นอ่ะ ก็มีไม่เยอะ มันก็หน้าเดิมๆนั่นแหละที่เดินสวนกันไปมาแถวนี้ แต่จำเป็นต้องเดินมาทักกันขนาดนี้หรอ... แต่ในเมื่อมีบัตรฟรีร้านนี้ กูสละริมหาดกูละกัน ไปที่นี่แหละ ดูท่าว่าคนจะแน่นตามเคย
แน่นอนว่าเราก็ตัดสินใจไปกินที่ร้านเดิม อิเพื่อนก็สบายใจมาก เพราะจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากทางมืดๆ ทั้งจากคนและจากรถไปที่หาดอีก พอไปถึงร้านแม่สาวเสิร์ฟฝรั่งจ๋าคนสวยก็เดินเข้ามาทักทันทีว่า "มาอีกแล้วหรอ วันนี้จะกินอะไร" ....
"นี่ไง จำมึงได้อีกคนละเนี่ย ไหนบอกไม่มีใครจำได้ไง!!" ไม่เกรี้ยวกราดใส่เพื่อนสิคะ คืนสุดท้ายแล้วนะจ๊ะ สบายๆสิ แน่นอนว่าอิบาร์เทนเดอร์คนทำเหล้าให้ก็กวนตีนพอประมาณ คือเราก็ไปเอาเหล้าแทนเพื่อนไหมหล่ะ มันยังมาทำท่าเหมือนจะบอกว่า ฉันจำเธอได้นะ เธอเอาไปแล้วถังนึง นี่ก็เลยทำหน้าเซ็งใส่มันและบอกว่า ของเพื่อนกูไง!! มันถึงจะยอมทำมาให้ พร้อมกับแถมทิชชู่ในเหล้ามาด้วย นี่กูจะขี้เป็นกระดาษไหม แดกเหล้าทิชชู่มึงเนี่ย อิสึสสสส!!
แน่นอนว่าเราวางแผนกันว่าจะออกจากที่พักเช้าซักหน่อย เพราะต้องนั่งรถไปท่าเรือ ต่อเรือ นั่งรถตู้ โอโหววว ระยะทางอีกยาวนานมากๆ ไม่อยากถึงบ้านดึกซะด้วย เพราะพรุ่งนี้ต้องทำงาน พวกเราก็โบกมือลาเกาะช้างที่ทำให้เราได้มาดำน้ำ เล่นน้ำตก เล่นทะเล เอาตัวมาโดนน้ำแบบจริงจังทุกวัน และก็ต้องขอบคุณเพื่อนเราเหมือนกันที่ยอมมากับเรา มาเที่ยวแบบออกต่างจังหวัดด้วยกันครั้งแรก ไม่รู้ว่าเราไปสร้างความทรงจำดีๆหรือแย่ๆให้มันนะ แต่เราก็ชอบทริปนี้ แม้โทรศัพท์จะพังพินาศ ที่พักไม่ค่อยโอเค(มีเสียงตุ๊กแกให้หลอนทุกคืนเลย) แต่มันก็เป็นข้อดีอย่างนึงนะ เราใช้เวลากับเพื่อนเรามากขึ้น กับหนังสือที่พกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ ได้มาฟินกับพระอาทิตย์ตก ปาร์ตี้แบบงงๆ เต้นแบบเหงาๆ(ก็แอบคิดถึงอิแก๊งหญิงไทยใจงามนะ เพราะอันนั้นนี่บ้าบอหนักพอกัน) เอาเป็นว่า... ไว้เราไปเที่ยวกันอีกนะ สนุกดี :)
ปล. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเพื่อน : จริงๆเป็นคนชอบเผื่อเวลาไว้ก่อนมันก็สะดวกดีนะ ไม่ต้องรีบอะไรเลย : ทำไมมึงเลือกกินเหล้ารสชาติแย่ แทนที่จะกินเบียร์อร่อยๆวะ : ก็รู้สึกดีและเหวอ ที่ทำให้เพื่อนรู้ตัวว่า ว่ายน้ำไม่เป็นและกลัวความสูง : มึงไปเรียนภาษาอังกฤษเดี๋ยวนี้เลยนะ กูสั่ง!!!!
แต่พอฟังเพลงไปเรื่อยๆเวลาผ่านไปเรื่อยๆคนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดคนก็เต็มร้านซะอย่างงั้นแล้วเราก็ได้ค้นพบความจริงอีกอย่างจากเพื่อนตัวเอง
"สั่งเบียร์มากินหน่อยไหม"
"กูไม่ค่อยกินอ่ะมึงมันไม่ค่อยอร่อย"
"กินเบียร์ผลไม้ไหมล่ะ"
"ก็ได้นะ แต่กูไม่ชอบกินเปรี้ยว สตอเบอรี่กูก็ไม่ชอบ ส้มรสชาติก็ดูไม่เวิร์ค" ไม่เหลืออะไรให้มึงแดกละ
"งั้นกิน Vodka ไหมผสมสไปรท์กับมะนาวอร่อยนะ"
"บอกแล้วไงว่าไม่ชอบกินเปรี้ยว"
"…" ไร้วาจาจะกล่าวเลยจ่ะ แล้วนางก็มองเมนูไปซักพัก ก่อนจะ..
"มีเหล้าขายด้วยหรอ งั้นขอแบบผสมโค้กแก้วนึง"
"..." สรุปคือไม่แดกเบียร์ ไม่แดกวอดก้า แต่แดกเหล้า..ที่รสชาติเหี้ยอีกต่างหาก
อยู่กันจนเมาแบบกรุบกริบ(เมาคนเดียวด้วย โคตรเท่ห์ - -) เต้นแบบเบาๆชิคๆ คุยกับคุณป้าชาวสวีเดนโต๊ะข้างๆ ก็สนุกๆกันไป เพื่อนก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
"มึง... ทำไมเขามีบัตรอะไรไปแลกเหล้าฟรีด้วยวะ" เราก็พยายามสังเกต เฮ้ยยยย จริงด้วย มิน่าคนแน่นร้านเชียว มันคือบัตรอะไรวะ ด้วยความที่ตีซี้เบาๆกับสาวสวยพนักงานเสิร์ฟหน้าตาฝรั่งจ๋าไว้แล้ว เราก็เรียกนางมาถามเลยจ้า นางก็เลยยื่นคูแองมาให้บอกว่า เอาไปแลกเครื่องดื่มฟรีได้ ก็จัดสิจ๊ะ รออะไร จากที่เมาแบบกรุบกริบ ก็เรียกได้ว่าบ้านหมุนพอประมาณเลยทีเดียว
วันที่สามของทริป วันนี้บอกเลยว่าเราจะปล่อยชิลกันมากๆ แม้เพื่อนจะอยากให้เช่ารถตู้เที่ยว แต่เราว่ามันดูเป็นเร่งรีบทัวร์เกินไป ผิดคอนเซปชิลในครั้งนี้ก็เลยบอกเพื่อนว่า เรานั่งรถสองแถวไปเที่ยวน้ำตกที่ใกล้ที่สุดละกัน วิธีการไป ง่ายมากค่ะ เรียกรถสองแถวบอกว่า ลุงไปน้ำตกที่ใกล้ที่สุด ที่ไหนก็ได้ ลุงก็ตอบตกลงแบบไม่บิดพลิ้ว ค่ารถก็เหมือนเดิมค่ะ คนละ 100 บาท ระหว่างทางลุงก็รับคน แวะส่งคนไปตลอดทาง เราก็ไม่รับนะ เรื่อยๆเลยลุง สบายๆ แล้วก็ได้สังเกตว่าคนเยอรมันอยู่เยอะมากเลยแฮะ เพราะได้ยินเขาพูดเยอรมันกันตลอดทาง ทั้งเวอร์ชั่นนักท่องเที่ยว และเวอร์ชั่นมาปักหลักอาศัยอยู่ที่นี่เลย
พอมาถึงน้ำตก ลุงก็บอกว่าเดี๋ยวลุงรอรับกลับละกันนะ พวกเราเลยขอเบอร์ลุงไว้กันเหนียว เผื่อลุงหายไปแล้วเดี๋ยวจะหาทางกลับไม่ได้ แล้วเราก็หายไปอยู่กับน้ำตกโคตรจะหลายชั่วโมงจนลุงคงไม่น่าจะรอ และก็คงไม่คิดว่าเราจะไปเล่นน้ำตกนานขนาดนั้นด้วยแหละ แต่ไม่ต้องกังวลไปด้านหน้ามีรถสองแถวจอดรออยู่เต็มไปหมด
น้ำตกที่เราไปชื่อ น้ำตกคลองพลู ก็มีการจ่ายค่าเข้าอุทยานนิดหน่อย ก่อนที่จะมีเส้นทางธรรมชาติให้เราเดินขึ้นไปหาน้ำตกด้านบน ขณะเดินเนี่ยก็มีลำธารเล็ฏๆไปตลอดเส้นทางเลย รองเท้าเราแม่งก็ลื่นพอประมาณ ต้องขอบคุณที่วันนี้ฝนไม่ตก เพราะตกกลางคืนแบบหนักมากไปแล้ว ก็เดินป่าไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีได้อยู่นะ ก็เดินไปเจอน้ำตกแล้วในที่สุด ทีแรกก็ลังเลมากว่า เราจะลงไปเล่นน้ำตกดีไหมวะแก คือในน้ำตกมีปลาเป็นร้อยตัว ทำเอาไม่กล้าลงไปเลย แต่ก็มีเด็กๆ ผู้ใหญ่หรือฝรั่งลงไปเล่นกันเต็มไปหมด ก็เลยตัดสินใจว่า เอาเท้าจุ่มให้ปลาตอดๆกันไหม เพราะน้ำตกมันเย็นมากเลย ต้องเอาตัวไปโดนหน่อย
แต่พอตัดสินใจเดินลงไปเอาเท้าแช่น้ำเท่านั้นแหละ น้ำตกนี้มันไม่ตื้นนี่หว่า ฮวบ!!! ยันเอวเลยจ้า มาถึงขั้นนี้แล้วก็ลงไปเล่นมันทั้งตัวเลยเหอะ จบๆไป แน่นอว่าลงไปปุ๊บ ปลาก็ว่ายมาตอดกันบุยยับ จั๊กจี๋ไปหมด แต่น้ำมันเย็นสบายมากๆ แล้วรอบด้านก็มีก้อนหิน มีต้นไม้ ฟินจริงๆ เราก็ว่ายน้ำไปมา มือวาดไปก็โดนตัวปลาบ้างในบางครา ก็หยึยๆดีนะ เล่นจนหนำใจก็เปลี่ยนทิศทาง ปีนขึ้นไปบนผาตรงน้ำตกบ้างดีกว่า คนอยากปีนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนเราเองนี่แหละ มึงจะมาอยากแอดเวนเจอร์อะไรตอนนี้วะ แต่ก็โอเคลำบากนิดหน่อย พอเดินได้
พอปีนขึ้นไปจนถึงหน้าผา มันสวยมากเลยแก ก็เลยขอยืมมือถือเพื่อนมาถ่ายรูปหน่อย แต่อิเพื่อนก็นั่งไม่ยอมยืนขึ้นมา
"เป็นไรวะมึง"
"มึง... กูพึ่งรู้ตัวอีกอย่าง กูกลัวความสูง กูจะเป็นลมแล้วเนี่ย"
อ้าว!! เฮ้ย !! เดี๋ยวดิวะ มึงชวนกุขึ้นมาเองนะ แล้วมึงจะมาทำหน้าซีดแบบนี้ไม่ได้
"มึง..ลงเหอะ กูอยากลงละ"
"เดี๋ยวดิ พึ่งขึ้นมาเอง ทางไม่แคบซักหน่อย ไม่ตกหรอก" คือทางมันไปแคบเลยเว้ยแก มีแก๊งนึงคือขึ้นมานั่งปี๊กนิคกินข้าวกันตรงนี้อยู่เลย แต่อยู่ชมวิวซักแปปก็ปีนลงไปเล่นน้ำตกใหม่อีกรอบ เป็นการล้างเนื้อล้างตัว หลังจากปีนเขา นอนอ่านหนังสือเล่นมาซักพักนานๆเลย ไหนจะแอบดูฝรั่งเปลี่ยนชุดว่ายน้ำอีก(มาคิดๆดูแล้วโคตรดูโรคจิต ทำไมเราต้องไม่มีอะไรทำขนาดไปมองเขาเปลี่ยนชุดวะ 5555)
หลังจากชุ่มฉ่ำกับน้ำตกจนไม่ไหวแล้ว ก็บอกให้ลุงสองแถวไปส่งที่ทางลงหาดให้หน่อย อยากเดินไปเล่นน้ำทะเลซะหน่อย จริงๆคืออยากดูพระอาทิตย์ตกนั่นแหละ เลยมามองหาโลเกชั่นไว้ก่อน แต่ใครจะไปคิดหล่ะว่า หาดมันจยาวขนาดนี้ นี่เลยต้องเดินฝ่าแดดกลับที่พักไปแบบทรมาณร่างกายแบบสุดๆ จากตัวเปียกจนตัวจะแห้ง เลยแวะกินขนม กินน้ำปั่นกันซักหน่อย ทั้งเปียกๆนี่แหละ เพราะถ้ากลับที่พักอากาศน่าจะร้อนมากอะไรมาก แอร์ก็ไม่มี พัดลมก็ไม่เย็น น้ำก็ไหลน้อย พอนั่งพักกินน้ำกินขนมกันแล้วก็กลับที่พักไปนอนเล่น รอเย็นๆออกมารอดูพระอาทิตย์กันจ้า
จังหวะรอพระอาทิตย์ตก ก็รอลุ้นไปด้วยว่าฝนจะตกไหม เพราะลมก็แรง ฟ้าก็เริ่มครึ้มๆ แล้วด้วยความที่ไม่สามารถหาที่นั่งได้จริงๆ ก็เลยลงไปเล่นน้ำทะเลที่โคตรจะตื้นมันซะเลย ตื้นจริงๆนะ คือต้องเดินไปไกลมากกว่ามันจะลึกอ่ะ และที่สำคัญ น้ำมึงร้อนมาก ต่างจากน้ำที่น้ำตกลิบลับ นี่สินะ ทะเลกลางแดดที่แท้จริง เล่นทะเลจนตัวเปื่อยก็เลยเดินขึ้นหาดมาหาที่นั่ง ก็ตัดสินใจสั่งเบียร์มากินซักขวด เพื่อจะได้นั่งที่หน้าร้านเขารอดูพระอาทิตย์ตกซะเลย แต่ว่าก็มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน พอเราไปนั่งก็เลยเริ่มบทสนทนากับคนไม่รู้จักเพิ่มขึ้นอีก 1 คนเป็นหนุ่มชาวอังกฤษ เรื่องที่คุยกันแม่มก็โคตรจะมีสาระ ไหนจะเรื่องหนังสือ เรื่องที่ท่องเที่ยว บลาๆๆๆ ก็คุยได้เรื่อยๆแหละ จนมาจบที่ คืนนี้มีปาร์ตี้ริมหาดนะ มาสิ น่าจะสนุกดี ไว้เจอกัน ก่อนจะลาจากไป พร้อมๆกับที่เรานั่งรอพระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ท้องฟ้าที่คอนๆเปลี่ยนสี จากท้องฟ้าสีขาวจ้าก็เริ่มๆทอแสงลงเป็นสีเหลือง สีส้ม สีชมพูอมฟ้า สีม่วง และในที่สุดก็เริ่มมืด ชอบโทนสีในช่วงเวลานี้ของท้องฟ้าที่สุดแล้ว การมองพระอาทิตย์ริมทะเล ทำให้เราได้เห็นมันค่อยๆลงไปแบบที่ไม่มีอะไรมากั้นจริงๆ
แน่นอนว่ามีคนมาชวนปาร์ตี้แบบนี้ไอ้เราก็ของขึ้นเลย หมายมั่นปั้นมือว่าคืนนี้เราจะกลับมาที่หาด!! แต่เพื่อนเราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะ
"มึง มันดึกแล้ว มันอันตราย มันน่ากลัวนะเว้ย แล้วมึงจะกลับยังไง ตรงนี้ก็ไกลจากที่พักนะเว้ย ไปที่เดิมเหอะ ใกล้ที่พักเรามากกว่า" สารพัดสารเพความเป็นห่วงจากเพื่อน ที่ไม่อยากให้เราเดินมามืดๆ อันตรายๆตรงหาด เราก็เลยตอบเพื่อนไปด้วยใจมาดมั่น
"มึง...กูมาคนเดียวก็ได้นะ" หาได้สนใจเสียงทัดทานจากเพื่อนไม่(เด็กเวรที่แท้จริง)
"กูจะปล่อยให้มึงไปคนเดียวได้ไงหล่ะโว้ยยย" จนในที่สุดเพื่อนก็ต้องยอมคล้อยตามไปก่อน จนกระทั่ง...
ขณะที่นั่งกินข้าวกันอยู่ หลังจากที่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็มีพี่ผู้ชายซักคนนึงเดินมา และยื่นบัตรของร้านเมื่อคืนที่เราไปมา(ร้าน Himmel) เป็นบัตรปาร์ตี้บาร์บีคิวและแน่นอนว่าไปรับเหล้าฟรีหนึ่งถังด้วยจ้า ก่อนจะพูดว่า...
"เห็นเมื่อคืนไปเต้นกันอยู่ที่ร้านนี้อ่ะ เผื่อคืนนี้จะไปอีก เลยเอามาให้" แล้วก็จากไปพร้อมกับสายตาห้ำหั่นจากเพื่อนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามกันนี้เอง
ภาพตัดไปที่เมื่อคืน...
"โอ้ยมึงงงง อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ เขาจำเราไม่ได้หรอก นี่มันมืดจะตาย แถมแต่ละคนก็กรึ่มๆกันทั้งนั้น เขาไม่สนใจเราหรอก สภาพจืดๆอย่างเราไม่น่าจดจำเลยมึง"
"ไหนมึงบอกว่า จะไม่มีใครจำเราได้ไงหล่ะ อิแอมมมมมมมม!!!" กรี๊ดดดด เพื่อนเกรี้ยวกราด
"เฮ้ยยยย มึง เอาน่าาา เขาเจอเราครั้งเดียวไหมหล่ะ พรุ่งนี้เขาก็ไม่เจอเราแล้ว ... แม่งจำกูได้ไงวะ!!" ทำไมถึงต้องมาจำกันได้ด้วยพี่ คือจริงๆเราก็เข้าใจนะว่าทำไมจำกันได้ คนอยู่ที่หาดนั้นอ่ะ ก็มีไม่เยอะ มันก็หน้าเดิมๆนั่นแหละที่เดินสวนกันไปมาแถวนี้ แต่จำเป็นต้องเดินมาทักกันขนาดนี้หรอ... แต่ในเมื่อมีบัตรฟรีร้านนี้ กูสละริมหาดกูละกัน ไปที่นี่แหละ ดูท่าว่าคนจะแน่นตามเคย
แน่นอนว่าเราก็ตัดสินใจไปกินที่ร้านเดิม อิเพื่อนก็สบายใจมาก เพราะจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากทางมืดๆ ทั้งจากคนและจากรถไปที่หาดอีก พอไปถึงร้านแม่สาวเสิร์ฟฝรั่งจ๋าคนสวยก็เดินเข้ามาทักทันทีว่า "มาอีกแล้วหรอ วันนี้จะกินอะไร" ....
"นี่ไง จำมึงได้อีกคนละเนี่ย ไหนบอกไม่มีใครจำได้ไง!!" ไม่เกรี้ยวกราดใส่เพื่อนสิคะ คืนสุดท้ายแล้วนะจ๊ะ สบายๆสิ แน่นอนว่าอิบาร์เทนเดอร์คนทำเหล้าให้ก็กวนตีนพอประมาณ คือเราก็ไปเอาเหล้าแทนเพื่อนไหมหล่ะ มันยังมาทำท่าเหมือนจะบอกว่า ฉันจำเธอได้นะ เธอเอาไปแล้วถังนึง นี่ก็เลยทำหน้าเซ็งใส่มันและบอกว่า ของเพื่อนกูไง!! มันถึงจะยอมทำมาให้ พร้อมกับแถมทิชชู่ในเหล้ามาด้วย นี่กูจะขี้เป็นกระดาษไหม แดกเหล้าทิชชู่มึงเนี่ย อิสึสสสส!!
แน่นอนว่าเราวางแผนกันว่าจะออกจากที่พักเช้าซักหน่อย เพราะต้องนั่งรถไปท่าเรือ ต่อเรือ นั่งรถตู้ โอโหววว ระยะทางอีกยาวนานมากๆ ไม่อยากถึงบ้านดึกซะด้วย เพราะพรุ่งนี้ต้องทำงาน พวกเราก็โบกมือลาเกาะช้างที่ทำให้เราได้มาดำน้ำ เล่นน้ำตก เล่นทะเล เอาตัวมาโดนน้ำแบบจริงจังทุกวัน และก็ต้องขอบคุณเพื่อนเราเหมือนกันที่ยอมมากับเรา มาเที่ยวแบบออกต่างจังหวัดด้วยกันครั้งแรก ไม่รู้ว่าเราไปสร้างความทรงจำดีๆหรือแย่ๆให้มันนะ แต่เราก็ชอบทริปนี้ แม้โทรศัพท์จะพังพินาศ ที่พักไม่ค่อยโอเค(มีเสียงตุ๊กแกให้หลอนทุกคืนเลย) แต่มันก็เป็นข้อดีอย่างนึงนะ เราใช้เวลากับเพื่อนเรามากขึ้น กับหนังสือที่พกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ ได้มาฟินกับพระอาทิตย์ตก ปาร์ตี้แบบงงๆ เต้นแบบเหงาๆ(ก็แอบคิดถึงอิแก๊งหญิงไทยใจงามนะ เพราะอันนั้นนี่บ้าบอหนักพอกัน) เอาเป็นว่า... ไว้เราไปเที่ยวกันอีกนะ สนุกดี :)
ปล. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเพื่อน : จริงๆเป็นคนชอบเผื่อเวลาไว้ก่อนมันก็สะดวกดีนะ ไม่ต้องรีบอะไรเลย : ทำไมมึงเลือกกินเหล้ารสชาติแย่ แทนที่จะกินเบียร์อร่อยๆวะ : ก็รู้สึกดีและเหวอ ที่ทำให้เพื่อนรู้ตัวว่า ว่ายน้ำไม่เป็นและกลัวความสูง : มึงไปเรียนภาษาอังกฤษเดี๋ยวนี้เลยนะ กูสั่ง!!!!
Koh Chang @ Trat
6-9 April 2017
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น