In ๐ภาพยนตร์๐ ไมเคิล มัวร์ รีวิวหนัง สารคดี หนัง Documentary Review

Where to invade next สารคดีจิกกัดอเมริกาที่คนไทยเจ็บด้วย!!




               เปิดฤกษ์รีวิวหนังเป็นหนังสารคดีที่รักมากก่อนเลยละกัน Where to invade next หนังสารคดีจิกกัดความเป็นอเมริกันชน ที่คนไทยไม่ควรพลาดอย่างแรง!!! 
               ออกตัวก่อนเลยว่ารีวิวสไตล์คนดูที่ไม่มีความรู้เรื่องหนัง เรื่องมุมกล้อง เรื่องเสียง เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่คนส่วนใหญ่วิเคราะห์กันได้ ไม่มีการให้คะแนนใดๆ.... เอาเป็นว่ารีวิวตามความรู้สึกจริงๆละกัน..เพราะฉะนั้น มีการเปิดเผยเนื้อหาในส่วนที่ผู้เขียนชอบนะฮะ

               ไม่รู้ว่าตอนนี้หนังจะออกจากโรงแล้วรึยัง แต่มั่นใจว่ามี DVD ออกมาแน่ๆ รอติดตามกับทาง Documentary Club เลยนะฮะ สำหรับใครที่คิดว่าสารดคีน่าเบื่อ ดูแล้วง่วงหรืออะไรก็ตาม อยากให้ลองดูสารดดีเรื่องนี้ แล้วจะมองหนังสารคดีเปลี่ยนไปเลย เป็นสารคดีที่แทรกความตลก ความขบขัน การจิกกัดให้เรารู้สึกคันๆในหัวใจไปทั้งเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องของประเทศอเมริกาก็ตาม ตอนแรกที่จะไปดูก็กลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจหรือเปล่า เพราะน่าจะพูดถึงแต่เรื่องของประเทศอเมริกา แต่ลองเข้าไปดูคุณจะรู้สึกว่า "ประเทศไทยก๊อปปี้ระบบของประเทศอเมริกามาใช่ไหม" เพราะคุณจะมีความรู้สึกร่วมไปกับหนังสารคดีในแต่ละช่วงเลย

                ลุงมัวร์จะพาเราไปเก็บดอกไม้ในประเทศต่างๆ (ลุงแกก็ออกตัวเลยว่า วัชพืชเราไม่เก็บมาแน่นอน) ที่พอจะเป็นต้นแบบที่ดีในการพัฒนาประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็น

                 -เรื่องสวัสดิการแรงงานในประเทศอิตาลีที่พอดูแล้วก็สะท้อนใจชีวิตมนุษย์เงินเดือนในไทยยิ่งนัก การห้ามเจ้านายติดต่อลูกจ้างหลังเลิกงานรวมทั้งสิทธิพักผ่อนทำสปาถ้าเกิดอาการเครียดในประเทศเยอรมนี นายจ้างที่ไม่มองว่าลูกจ้างเป็นแค่เครื่องมือหากินแต่ให้สิทธิในการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้ลูกจ้างสุขภาพแข็งแรง และพร้อมจะทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่

                  -การจัดเตรียมอาหารชั้นเยี่ยมโดยเชฟฝีมือที่มีการคิดและวางแผน ประชุมกันอย่างจริงจัง เพื่อจัดอาหารที่ดีและมีประโยชน์ให้เด็กๆทานเป็นมื้อกลางวันในประเทศฝรั่งเศส เพื่อสุขภาพของเด็ก รวมทั้งเป็นการสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารด้วย ลุงมัวร์แกก็ไปป่วนเด็กๆซะ และการสอนเรื่องเซกซ์อย่างเปิดเผย แต่อัตราการท้องก่อนวัยอันควรกลับน้อยกว่าประเทศที่ปิดกั้นเรื่องเพศซะอีก

                   -เรียนฟรีในประเทศสโลวาเนีย ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วโลกได้เข้าไปศึกษาฟรีอย่างเท่าเทียม
การศึกษาที่ดีที่สุดในโลกของประเทศฟินแลนด์(มีโอกาสได้เข้าสัมนากับท่านทูตด้วย ข้อมูลเลยค่อนข้างจะเยอะ) การเปิดโอกาสให้เด็กค้นหาตัวเองให้เจอ ไม่มีการสอบที่กดดันหรือการแข่งขันกับคนอื่น โรงเรียนที่ดีที่สุดคือโรงเรียนใกล้บ้าน และจะเริ่มเรียนกันในวัย 7 ขวบ โดยทางครูของเด็กๆก็บอกเลยว่า ควรจะให้เด็กเป็นเด็กให้นานที่สุด เล่นให้มากที่สุด.. นั่นเป็นการสร้างการเรียนรู้ที่ดีที่สุด... พอหันกลับมามองตัวเอง เราคงเป็นความผิดพลาดของระบบการศึกษาไทยนี่เอง.. น่าเศร้าอะไรแบบนี้

                  -อีกประเด็นที่ชื่นชอบมากๆ จนน้ำตาไหลให้กับเรื่องนี้ คือการสอนประวัติศาสตร์เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวให้กับเด็กๆในเจนเนอเรชั่นนี้โดยไม่ปิดบังของชาวเยอรมัน ประเทศเยอรมันไม่เคยบดบังความผิดของตน สอนลูกหลานให้ร่วมรู้ ร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่บรรพบุรุษตนเองทำไว้ ทุกๆสถานที่จะตอกย้ำความผิดที่ทำไว้กับชาวยิวเสมอ เด็กๆจะเรียนรู้ในเรื่องนี้และจะจดจำเป็นบทเรียนไปอีกนานแสนนาน

                   -ประเด็นในเรื่องของศาสนาในประเทศตูนีเซียที่เป็นประเทศอิสลาม ที่ไม่มีกฏหมายห้ามปรามสิทธิส่วนบุคคล เช่น การทำแท้ง การเป็นเพศที่สาม การไม่โพกศีรษะของผู้หญิงในประเทศ ทางรัฐถือว่าเป็นสิทธิ และอิสรภาพของประชากร โดยใช้เพียงแก่นของศาสนามานำทางการใช้ชีวิตเท่านั้น

                    -การใช้สิ่งเสพติดไม่ใช่เรื่องผิดกฏหมายในประเทศโปรตุเกส แต่อัตราการเกิดอาชญากรกลับน้อยกว่าประเทศอื่นๆซะอีก ไม่มีโทษประหารชีวิตและการคุมขังนักโทษในคุกนอร์เวย์ที่ดูเหมือนบ้านพักตากอากาศกลางเกาะที่มีทุกอย่างพร้อม ทั้งหนังสือ อาหาร เกมส์ รวมทั้งมีดที่สามารถนำมาเป็นอาวุธได้ การดูแลนักโทษของการ์ดที่คอยช่วยเหลือดูแลมากกว่าจะลงโทษ ปฏิบัติกับนักโทษอย่างมีมนุษยธรรม ทำให้นักโทษที่พ้นผิดสามารถมีความรู้และใช้ชีวิตข้างนอกได้อย่างปกติ แล้วอะไรคือการลงโทษหล่ะ? การลงโทษคือ คุณจะไม่ได้เจอญาติไม่ได้อยู่กับคนที่คุณรัก ต้องห่างจากครอบครัว

                     -การมีผู้หญิงเป็นผู้บริหารร่วมตัดสินใจในสถานการณ์สำคัญต่างๆในประเทศไอซ์แลนด์ ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ การยกตัวอย่างธนาคารแห่งเดียวที่อยู่รอดจากปัญหาทางเศรษฐกิจโดยที่ผู้บริหารเป็นผู้หญิง.. การต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีในหลายๆประเทศ แม้จะต้องเสียเลือดเนื้อ ต้องต่อสู้อย่างยาวนาน แต่ถ้ามันสำเร็จ แม้จะไม่สำเร็จในรุ่นของพวกเขา แต่ลูกหลานของพวกเขาจะได้เกิดในประเทศที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เขาอยู่

                       -บทสัมภาษณ์ในหลายๆไดอาล็อกทำให้เราต้องย้อนมาคิดถึงตัวเองในแง่ต่างๆ อย่างการสัมภาษณ์พ่อของเด็กที่ถูกผู้ร้ายฆ่าตายในขณะที่ไปทัศนศึกษาว่า "ถ้าหากเจอฆาตกรคนนั้นคุณจะฆ่าเขา เหมือนที่เขาฆ่าลูกคุณไหม" สิ่งที่พ่อของเหยื่อตอบก็คือ.. "ตัวเขาไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนั้น ไม่มีสิทธิไปพรากชีวิตใคร ไม่เช่นนั้นเขาเองก็ไม่ได้ต่างจากฆาตกรคนนั้นเลย..."  และยังมีอีกหลายๆไดอาล็อกที่ทำให้ต้องกลับมาสำรวจตัวเอง สำรวจประเทศชาติ มีอะไรบ้างที่เราจะทำให้มันดีขึ้นได้

                       สิ่งที่น่าสนใจคือ... ทุกๆดอกไม้ที่ลุงมัวร์พาไปดูล้วนแต่เป็นดอกไม้ที่ประเทศเหล่านั้น เก็บมาจากประเทศอเมริกาด้วยกันทั้งสิ้น "คุณคิดว่าประเทศของคุณยิ่งใหญ่ คุณมีทุกอย่างพร้อมแต่คุณใช้สิ่งเหล่านั้นกับการดูคาร์เดเชียนแฟมิลี่ เรารู้จักคุณแล้วคุณหล่ะรู้จักอะไรเกี่ยวกับประเทศเราบ้าง" บทสัมภาษณ์นักข่าวหญิงคนนึงที่ทำให้เราต้องฉุกคิดในอะไรหลายๆอย่าง...

                       อย่าคิดว่ามือเล็กๆของเราจะทำเรื่องยิ่งใหญ่ไม่ได้... อย่างที่ลุงมัวร์พูดถึงกำแพงเบอร์ลินนั่นแหละ กำแพงที่ในยุคนึงไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะพังทลายลงได้ แต่มันกลับพังเพียงเพราะมีคนคนนึงหยิบสิ่วกับค้อนมาค่อยๆตอกกำแพงนี้ จากหนึ่งเป็นสาม เป็นสิบ จนสามารถทำลายสิ่งที่คิดว่ามันไม่มีทางทำลายลงได้ แค่ลองลงมือทำดู... ค้อนพร้อม สิ่วพร้อม ไป!!


                  "ถ้ากำแพงเบอร์ลินล้มได้ ทุกอย่างบนโลกนี้ก็เป็นไปได้"        

ปล. ข้อมูลส่วนใดผิดพลาดหรือบิดเบือนไปบ้างไม่ตรงกับไดอาล็อกแบบเป๊ะๆไปบ้างต้องขออภัยด้วย... เนื่องจากดูมาตั้งแต่เข้าฉายในวีคแรก นี่เข้าฉายมาวีคที่แปดแล้ว :)    


         

Related Articles

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น