In ๐มีสาระ๐ ทุนอีราสมุส นักเรียนทุน ยุโรป วีซ่า สถานทูต ออสเตรีย Erasmus

Erasmus Mundus & I : มาเตรียมทำวีซ่าไปออสเตรีย(ที่ไม่มีจิงโจ้ และอยู่ในทวีปยุโรป)กันเถอะ!!



หลังจากได้ทุนไปเรียน ส่งเอกสารตอบรับทุนไปจนหมดสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เตรียมตัวขอวีซ่านั่นเอง เราไปประเทศออสเตรียก่อนเป็นประเทศแรก (ออสเตรียอยู่ข้างๆเยอรมัน มีเวียนนาเป็นเมืองหลวง อยู่ทวีปยุโรป โอเคนะจ๊ะ ไม่ใช่ออสเตรเลียเด้อ!! คือมีคนคิดว่าเราไปออสเตรเลียเยอะมาก จนแบบว่า กูยอมไปดูจิงโจ้ก็ได้อ่ะ = = ขี้เกียจอธิบายละ)



แน่นอนว่าพอทางมหาลัยได้รับเอกสารของเราเรียบร้อยก็ส่งข้อมูลเอกสารที่เราต้องเตรียมเพื่อไปขอวีซ่ามาให้ ของทุกประเทศที่เราต้องไปเลยแหละ (ของเราก็มีออสเตรีย กับเดนมาร์ก) แน่นอนว่าประเทศแรกที่ต้องไปเหยียบคือ ออสเตรีย วีซ่าที่เราต้องของคือ VISA Type-D เราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าแต่ละประเภทต่างกันยังไง แต่เราต้องประเภทนี้ เกิดมาเคยขอแค่เชงเก้นวีซ่าสามเดือน ซึ่งน่าจะ Type-C คือเวลาท่องเที่ยวก็น่าจะ Type-C ในส่วนของเอกสารที่เราต้องเตรียมเอง ก็มีไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่คือต้องรอทางมหาลัยจัดหามาให้ เราใช้เวลารอเอกสารทำวีซ่า นานมาก โคตรจะหลายเดือน ลิสเอกสารที่เราต้องเตรียมก็คือ

1. ฟอร์มสำหรับของ Visa Type-D หาโหลดจากหน้าเว็บของสถานทูตเลย
2. รูปสำหรับทำวีซ่าของยุโรป ถ่ายรูปที่ไหนก็ได้เลยจ้าาา
3. เล่ม Passport ของเราเอง
4. ที่อยู่ของเราในออสเตรีย ที่มีสัญญาระบุชัดเจนว่าเรามีที่ซุกหัวนอนชัวร์ๆจากเจ้าบ้าน
5. ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่ครอบคลุมช่วงเวลาของเราในยุโรป
6. หลักฐานทางกาารเงินว่าเรามีเงินพอจะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเขาได้ (โดยปกติก็ใช้พวกบุ๊คแบงค์ธนาคารนั่นแหละ)
7. หลักฐานจากทางมหาลัยว่า เราได้ใบตอบรับให้เข้าเรียนมหาลัยทางนั้นแล้ว
8. ตั๋วเครื่องบินขากลับ(ถ้าจำเป็น)

และค่าทำวีซ่าประเภทนี้ 100 ยูโรเด้อค่าาาา แพงมาก นี่ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมบลาๆๆๆ อีกมากมาย

อันนี้คือหลักฐานคร่าวๆที่เราต้องเตรียมเพื่อไปทำวีซ่า เอกสารที่เราสามารถเตรียมได้เองในฐานะเด็กทุนผู้ไม่มีเงินในบุ๊คแบงค์ ไม่มีประกันสุขภาพ ไม่มีที่อยู่ที่โน่น ยังไม่ได้ใบตอบรับจากมหาลัย ก็มีแค่สามข้อแรกเท่านั้นแหละ มาดูปัญหากันค่ะ ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรกันบ้าง และสิทธิพิเศษสำหรับเด็กทุนอีราสมุสมันพิเศษมากเวอร์ยังไง??


ในส่วนของสามข้อแรก ไร้ปัญหาใดๆทั้งสิ้น อาจจะกรอกข้อมูลในฟอร์มวีซ่าไม่ค่อยถูกมากแต่ไม่เป็นไรนะ เพราะสถานทูตออสเตรีย เจ้าหน้าที่ใจดีมาก เรากรอกไปคร่าวๆและไปถามที่เคาเตอร์ก็ได้ว่า เรากรอกแบบนี้ถูกต้องไหม ตรงนี้ต้องกรอกอะไรในกรณีที่เราไม่มั่นใจว่าต้องกรอกแบบไหน

ที่อยู่ที่เราจะใช้ซุกหัวนอนตลอดการดำรงชีวิตอยู่ที่ออสเตรีย ของเราโชคดีมากๆ จากที่ได้คุยกับหลายๆคนที่ได้ทุนอีราสมุสสาขาอื่นๆตอนไปงาน Pre-Departure แต่ละคนต้องตะลุยหาที่พักกันเอง บางคนต้องนอนโฮสเทลไปก่อนเดือนนึงแล้วใช้ช่วงเวลานั้นในการเดินหาหอพัก ในขณะที่เราทางมหาลัยช่วยหาที่พักมาให้ ซึ่งราคาถูกมาก และเราคิดว่าไม่มีทางถูกโกงแน่ๆ เพราะทางมหาลัยน่าจะพรูฟมาให้เรียบร้อยแล้วว่า ที่นี่โอเค และมีที่ว่างให้เราพักได้จนถึงช่วงเวลาที่เราต้องย้ายประเทศ แม้ว่าจะมีที่พักมาให้เราเลือกแค่สองที่เท่านั้นเอง มีทั้งแบบห้องเดี่ยว ที่ราคาก็จะแพงกว่าห้องเตียงคู่นิดนึง

ซึ่งไอ้ที่พักที่มีมาให้เราเลือก ระยะห่างจากมหาลัยคือพอกันเลย เดินทางใช้เวลาพอกัน แต่อยู่กันคนละฝั่งของแม่น้ำเท่านั้นเอง ที่แรกก็เป็นที่พักติดกับสถานีรถไฟ Salzburg เลย(ลืมบอกว่าเราไปอยู่เมือง Salzburg) ซึ่งทุกคนก็คิดว่า มันต้องเสียงดัง วุ่นวายโน่นนี่นั่น ไม่ค่อยมีใครเลือกนอนที่นี่กันเลย ส่วนอีกที่นึงที่คนค่อนข้างจับจองกันอย่างรวดเร็ว อยู่ในโซนที่ค่อนข้างเงียบสงบซะหน่อย โซนที่พักอาศัย ไม่ค่อยมีแสงสีมากนัก ในขณะที่เราโคตรคิดต่าง เราเลือกที่ที่ติดกับสถานีรถไฟเพราะ เราว่าเราต้องเที่ยวบ่อย และมั่นใจว่าแถวนั้นต้องหาของกินง่ายกว่าแน่นอน โซนชุมชนมันต้องมีร้านขายของเยอะ เรื่องเสียงดังเราโอเค เพราะเราหลับได้ และที่สำคัญคือ ห้องเดี่ยวราคาถูกกว่าอีกที่นึง เราเลยกดจองห้องเดี่ยวไปเลย เราไม่พร้อมมีรูมเมทตอนนี้ เราควรเรียนรู้นิสัยเพื่อนที่จะต้องมาอยู่กับเราก่อน ไม่พร้อมเสี่ยงเอาดาบหน้าขนาดนั้น (แม้เราจะดูเริงร่าบ้าบอ ชอบปาร์ตี้ แต่จริงๆก็ชอบที่จะอยู่คนเดียว มีมุมเงียบๆฟังเพลงหรืออ่านหนังสือคนเดียวอยู่นะ) เราก็มีทำรีเสิร์ชนะว่าที่ที่เราจะไปพักนี่ย สภาพเป็นไง มีคนมารีวิวว่าห้องน้ำโคตรแย่ ห้องอาบน้ำไม่มีประตู(อิเห้ อ่านเจอแล้วก็ช็อคอยู่ คือแบบโบ๋แบบไม่มีม่านด้วย มีม่านให้กูหน่อยไหมหล่ะ) แต่มันเป็นรีวิวที่ผ่านมาหกเจ็ดปีแล้ว เราคิดว่าเขาน่าจะปรับปรุงบ้างหล่ะวะ และ... ถ้าคนอื่นอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ ไว้ค่อยหาวิธีแก้ปัญหาเอาดาบหน้าละกัน

แน่นอนว่าในส่วนของที่พักก็ต้องมีการหักค่ามัดจำไว้ก่อน กรณีเราที่โคตรขี้เกียจจะไปตามล่าหาที่พักเองและไม่ต้องการเสี่ยงเจอโดนหลอก เลยตกลงเลือกเอาจากที่มหาลัยหามาให้นั่นแหละ เราต้องทำการเซ็นเอกสารยินยอมให้ทางมหาลัยจัดการกับเงิน 1000 Euro ของเรา ที่ทางทุนได้ให้ไว้เป็น Installation cost ทางมหาลัยก็จะจัดการหักเงินค่ามัดจำของเราจากพันยูโรนี่แหละ ของเราค่ามัดจำแพงหน่อย แต่ต่อเดือนค่อนข้างถูก คือมัดจำ 500  Euro + Admission fee 44 Euro ก็หักออกไปจากหนึ่งพันนั้นแหละ ส่วนค่าเช่าเดือนละ 249 Euro หลังจากเซ็นเอกสารยิมยอมพร้อมใจให้เขาจัดการกับเงินเราแล้ว เราก็ส่งเอกสารตัวจริงไปให้ทางมหาลัยซะ(โดนค่าส่งไปอีกพันสอง ปาดเหงื่อด้วยความยากจนของตนเอง) เราจัดการในส่วนของเราเรียบร้อยแล้ว ก็ได้แต่รอให้ทางโน้นจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยและส่งเอกสารมาให้เราเพื่อยื่นเรื่องทำวีซ่า

ระหว่างนั้นทางมหาลัยก็ส่งใบตอบรับจากทางมหาลัยมาให้เรา(เอกสารในข้อ 7) ซึ่งเป็นเอกสารตัวเดียวที่เป็นตัวจริง เอกสารที่เหลือทางมหาลัยจะส่งเป็นอีเมลล์มาให้เรา เราก็ปริ้นท์ไปให้กับทางสถานทูต แน่นอนว่า สิทธิพิเศษของเด็กทุนอีราสมุสก็คือ เรื่องหอพักทางยูก็จัดการให้ และส่งสัญญาเช่ามาให้เราผ่านอีเมลล์ รวมทั้งประกันสุขภาพที่ทางทุนก็จัดการทำให้เรียบร้อยครอบคลุมระยะเวลาสองปีที่เราต้องไปอยู่ในยุโรป ไหนจะเอกสารที่พรูฟเรื่องเงินของเรา ก็คือเอกสาร The official Scholarship Award Letter  ที่ระบุว่าเราได้ทุนอีราสมุสนะ และเราก็มีเงินใช้จ่ายที่โน่นแน่นอนโดยที่มีสหภาพยุโรปเป็นผู้สนับสนุน(โคตรเท่ห์ตรงนี้ เพราะไม่เสียเงิน ฮ่าๆๆๆๆ)

แต่.... ปัญหาของเรายังไม่หมด เราไม่เก็ทตรงที่ว่าเราต้องมีตั๋วกลับด้วยหรอ เราไม่สามารถจองตั๋วล่วงหน้าสองปีได้แน่นอน ไม่มีสายการบินไหนเปิดให้จองอยู่แล้ว เราก็เลยตัดสินใจโทรไปสอบถามกับทางสถานทูต ไหนจะติดต่อทางยูเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ตอนแรกสถานทูตก็พยายามจะให้เรามีตั๋วกลับให้ได้ จนเราต้องอธิบายอีกรอบนึงว่า เราต้องไปสองปีนะ และเราก็ได้ทุนอีราสมุส พอสถานทูตได้ยินชื่อทุนก็โอนสายเราไปหาอีกคนนึงที่น่าจะช่วยเหลือเราได้

โดยปกติแล้ว สถานทูตออสเตรียจะจ้างบริษัทข้างนอกมาทำวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างๆ โดยมีศูนย์ยื่นที่สีลมและต้องเข้าเว็บไปทำการจองคิวว่าจะเข้าไปวันไหน แต่ในกรณีของเรานักเรียนทุนอีราสมุส เป็น special case ที่เราต้องติดต่อกับสถานทูตโดยตรง ติดต่อและทำวีซ่ากับสถานทูตตรงๆเลย

ขั้นตอนแรกเราต้องเมลล์ไปขอคำแนะนำกับทางสถานทูตก่อน และทำการนัดหมายกับทางสถานทูตผ่านอีเมลล์นี่แหละ (ซึ่งในอีเมลล์ต้องพิมพ์ภาษาอังกฤษเท่านั้นนะ) เราก็จัดการพิมพ์ลิสเอกสารที่เราเตรียมไว้ทั้งหมด และถามเรื่องของค่าทำวีซ่า รวมทั้งเรื่องอิตั๋วครื่องบินขากลับนี่ด้วย

ทางสถานทูตก็ตอบเมลล์กลับในวันถัดไป ว่านักเรียนทุนไม่ต้องเสียเงินค่าทำวีซ่าใดๆทั้งสิ้น และสามารถนัดหมายวันเวลากับทางสถานทูตได้เลย ในส่วนของตั๋วเครื่องบินขอแค่ขาไปขาเดียวก็พอแล้ว... ในเมื่อเราเคลียร์ส่วนที่เราสงสัยไปหมดแล้ว เราก็ต้องตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินซะที แม้ว่าทางทุนจะมีเงินให้ แต่เราก็ต้องออกตังค์ไปก่อนอยู่ดี เงินจะมาก็ต่อเมื่อเราเปิดบัญชีที่โน่นแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายแค่ไหน

วันเริ่มเปิดเรียนของเราคือวันที่ 25 September 2017 (ซึ่งเปิดช้ากว่าชาวบ้านเขานานมาก คนอื่นเปิดกันต้นเดือนโน่น) และเรามีแพลนเรียนภาษาเยอรมันที่ไทยก่อนซึ่งจบคอร์ส 19 Sep ส่วนที่พักของเรา สัญญาระบุไว้ว่าเราเข้าที่พักได้วันที่ 23 Sep ดูๆแพลนแล้ว... ชีวิตกูมันจะกระชั้นชิดอะไรเบอร์นั้นวะ ถ้าไปก่อนก็ไม่มีที่ซุกหัวนอน ต้องย้ายบ้านสองรอบอีก ก็เหนื่อยอยู่ดี ไม่ได้ทำให้สบายขึ้นแต่อย่างใด เราเลยตัดสินใจจองตั๋วบินคืนวันที่ 22 Sep ไปถึงก็ 23 Sep ช่วงเย็นๆ พักผ่อนวันที่ 24 ซักหนึ่งวัน ก็คงโอเคมั้ง คิดเอาเองว่าโอเคอ่ะ และหวังว่ามันโอเค (ซึ่งเราจะพลาด Welcome Week ของมหาลัยไปเลย เสียใจนิดหน่อยที่ไปไม่ทันปาร์ตี้วันศุกร์ ฮ่าๆๆๆ)

เราตัดสินใจจองตั๋วของสายการบิน Turkish Airlines คือใครบินช่วงสามสี่เดือนนี้ ก็เลือกบินเตอร์กิชทั้งนั้นแหละ เพราะมันถูกสุดละจริงๆ แม้จะให้โหลดกระเป๋าแค่ 20 กิโลก็ตาม นี่ก็ยังคิดไม่ออกว่าเราจะแบกของอะไรยังไงดีฟะ??? แน่นอนว่าทางมหาลัยก็น่ารักมากๆ ให้เราส่งกำหนดการณ์บินไปให้ดูว่าเราจะไปถึงวันไหนและตอนไหน (มารับหนูหน่อยข่าาาา) ไหนจะช่วยเรื่องการหาบัดดี้ให้ ซึ่งจะหาได้ไหมก็อีกเรื่องนึงนะ

หลังจากเราจัดการจองตั๋วเครื่องบินแล้ว เอกสารทุกอย่างพร้อมมาก ก็อีเมลล์ไปนัดวันกับทางสถานทูตเลย ขั้นตอนทุกอย่างก็ง่ายๆเลย แค่ไปยื่นเอกสารให้ครบ และแน่นอนว่าไม่เสียเงินค่าทำวีซ่าด้วย

สถานะตอนนี้ก็คือ :: มีวีซ่าอยู่ในมือ รอบินเท่านั้นแหละ :)



31 July 2017 @ Embassy of Austria




Related Articles

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น